ผู้เสียหายสุดมึน ถูกโกงกว่าหุ้นกว่าร้อยล้านแจ้งความมา 3 ปี คดีไม่คืบ แถมถูกลักเครื่องจักร และแอบเปิดบริษัทซ้อน ขณะที่อุตสาหกรรม ยังตีมึน ออกคำสั่งให้หยุดกิจการ แก้เขิน ทั้งที่โรงงานยังเปิดทำงานตามปกติ
จากกรณีที่นายสมบัติ โรจน์ธนเดช อายุ 55 ปี ผู้ถือหุ้น บริษัท กรีน เพาเดอร์โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ภายในซอยธนสิทธิ์ ต.บางปลา อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ที่ถูกหุ้นส่วนของบริษัท ลักทรัพย์เครื่องจักรและโกงหุ้นและผลกำไรรวมมูลค่ากว่าร้อยล้านบาทไป ซึ่งมีการแจ้งความร้องทุกข์ไว้ที่ สภ.บางพลี สมุทรปราการ ไว้เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ทั้งเรื่องลักทรัพย์ร่วมกันยักยอกและฉ้อโกง และแอบไปเปิดบริษัท ซ้อนขึ้นดำเนินกิจการแบบเดียวกัน มีการถ่ายเทลูกค้าร่วมถึงนำตราสัญญาลักษณ์ไปใช้ และยุบที่ตั้งของบริษัทที่ตนถือหุ้นอยู่ โดยอ้างว่าเจ้าของต้องการที่ดินคืน และไม่มีการจดแจ้งยกเลิกกิจการ แต่กลับไปแอบเปิดบริษัทซ้อน ที่ใช้อักษรตัวย่อว่า พ. ขึ้นมา และยังใช้ตราสัญญาลักษณ์รวมทั้งเว็บไซต์ของบริษัทที่ตนถือหุ้นอยู่ แต่คดีไม่มีความคืบหน้า
ข่าวน่าสนใจ:
- ตรัง "โลกเปลี่ยน เราไม่เปลี่ยน" บอกรักทะเลด้วยสองมือ ณ หาดฉางหลาง ทะเลตรัง ก้าวขา-พาสองมือเก็บขยะทะเล รังสรรค์งานศิลป์
- ตรัง ร้านอาหารผวา!! แก๊งคอลเซ็นเตอร์ป่วน อ้างสั่งอาหารหรู "พระกระโดดกำแพง" หลอกร้านดังเกือบเสียเงินแสน
- สานฝันวันคริสมาสให้เด็กนักเรียนห่างไกลความเจริญ
- ชัยภูมิ นทท.แห่สัมผัสทะเลหมอกน้ำค้างแข็งหลายพื้นที่แตะ 7 องศาคึกคัก!
ในวันนี้ 3 กันยายน 2564 นายสมบัติ โรจน์ธนเดช อายุ 55 ปี พร้อมด้วย ผศ.ดร.เกรียงศักดิ์ พินทุสรศรี ทนายความ ได้เดินทางมาที่โรงพัก สภ.บางพลี สมุทรปราการ เพื่อมาติดตามความคืบหน้าของคดี และขอคัดเอกสารเกี่ยวกับคดีเพื่อมอบหมายให้ทนายเกรียงศักดิ์ ทำการไตรสวนและฟ้องศาลเอง เนื่องจากแจ้งความร้องทุกข์มา 3 ปีแล้วแต่ไม่มีความคืบหน้า ซึ่งคดีที่แจ้งไว้รวมทั้งวันนี้มีทั้งหมด 3 คดี ได้แก่ 1,ลักทรัพย์เครื่องจักร 2,ยักยอกเงินในบัญชีของบริษัทไปเข้าบัญชีส่วนตัว 3,ฉ้อโกงหุ้น และยังทราบว่ามีการเคลื่อนย้ายเครื่องจักรที่เป็นของกลางออกจากโรงงานไปแล้ว วันนี้เราจึงมาแจ้งความเพิ่มให้อุตสาหกรรมจังหวัดและเจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายค้นบริษัทดังกล่าว ว่ามีการเคลื่อนย้ายเครื่องจักรตัวดังกล่าวไปไหนเพราะเครื่องจักรตัวดังกล่าวมีการขึ้นทะเบียนการเสียภาษีและทะเบียนเครื่องจักรอยู่ วันนี้ก็เลยมาแจ้งความเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องลักทรัพย์และมีการเคลื่อนย้ายเราก็จะขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปตรวจค้น และมาแจ้งในฐานะผู้ถือหุ้น
ผศ.ดร.เกรียงศักดิ์ พินทุสรศรี ทนายความ ได้กล่าวว่า วันนี้ได้เดินเพื่อยื่นคำร้องสอบถามกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ทางนิติกรของอุตสาหกรรมจังหวัดได้มาแจ้งความไว้หรือไม่ และถ้าไม่มีการแจ้งหรือมีเอกสารอะไรมาบ้างเราก็จะดูว่าใครกระทำผิดแค่ไหนซึ่งเราก็ฟ้องในมาตร 157 ด้วย
ด้านนายสมบัติ โรจน์ธนเดช ผู้เสียหาย ได้กล่าวว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตนมีมูลค่ากว่าร้อยล้าน เพราะว่าบริษัทแห่งนี้มีผลกำไรปีละประมาณ 25 ล้านซึ่งบริษัทแห่งนี้เปิดมาสิบกว่าปีแล้วและมีผลกำไรเก่าสะสมอยู่สามสิบกว่าล้านอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นทรัพย์สินของบริษัทนี้รวมทั้งกำไรที่เกิดขึ้น ตั้งแต่มีการเคลื่อนย้ายเครื่องจากออกไปจากบริษัทมูลค่าความเสียหายของบริษัทก็ประมาณ 300 ล้าน ซึ่งเราก็จะฟ้องตรงนี้ด้วย ส่วนเรื่องเครื่องจักรที่ทราบว่ามีการเคลื่อนย้ายออกไปเราก็จะไปติดตามทวงถามททางอุตสาหกรรมจังหวัดด้วยว่าทราบเรื่องหรือไม่และปล่อยให้ย้ายเครื่องจักรออกไปได้อย่างไร และยังทราบว่าบริษัทที่มีอักษรย่อตัว พ. ก็ไม่ได้ยื่นขออนุญาต และตั้งอยู่ในพื้นที่สีเขียวได้อย่างไร ซึ่งเราสงสัยว่าอาจจะมีเจ้าหน้าที่ของรัฐมีส่วนร่วมรู้เห็นด้วย ซึ่งในเรื่องนี้ต้องมีการขยายผล และถ้าเป็นไปได้อยากให้มีการตรวจสอบเส้นทางการเงิน
หลังจากที่ผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความเพิ่มเติมแล้ว ได้เดนทางมายังบริษัทที่ลักทรัพย์เครื่องจักรตัวดังกล่าวมา พบว่าที่บริเวณหน้าบริษัท มีหนังสือ ที่ออกโดยสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรปราการ ให้บริษัทดังกล่าวหยุดดำเนินกิจการโรงงานทั้งหมด มาปิดไว้ที่หน้าโรงงาน เป็นหนังสือ ที่ สป.0033(2)/169 ลงวันที่ 20 มกราคม 2564 โดยข้อความในหนังสือ ให้ระงับการประกอบกิจการผลิตสีฝุ่น และพ่นสีเหล็ก ซึ่งได้ติดตามการดำเนินการ เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม 2564 พบว่ายังคงมีการประกอบกิจการโรงงานตามปกติ ซึ่งถือว่าเป็นการจงใจฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งให้ระงับ การกระทำที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ.2535 แต่จากการตรวจสอบของผู้เสียหายและทนายความ ได้พบว่าโรงงานดังกล่าวยังคงประกอบกิจการอยู่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ขณะที่ทนายเกรียงศักดิ์ ได้ติดต่อสอบถามไปทางอุสาหกรรมจังหวัดสมุทรปราการ กลับได้รับคำตอบจาดเจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมว่า โรงวานดังกล่าวได้มีการเคลื่อนย้ายเครื่องจักรออกไปหมดแล้ว และไม่มีการประกอบกิจการแต่อย่างใด และยันยีนว่าเจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมได้เข้าไปตรวจสอบและถ่ายรูปไว้หมดแล้ว แต่พอถามว่าย้ายไปไหน เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวกลับตอบว่าไม่ทราบ จากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่อุตสาหกรรมยังพบว่ามีพฤติกรรมต้องสงสัยจึงแจ้งความจำนงว่า และจะเข้าไปของคัดเอกสารและรูปที่บันทึกไว้ เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวกลับบ่ายเบี่ยงโดยอ้างว่าต้องคุยกับกับผู้ใหญ่ก่อน
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: