แม่วอนช่วยเหลือลูกสาวที่ป่วยหนักอยู่ที่เกาหลีใต้ หลังลักลอบออกไปทำงานที่เมืองแทกู ประเทศเกาหลีใต้ เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว ทั้งที่มีโรคประจำตัว เป็น ภูมิแพ้ และ ไวรัสตับอักเสบ
เมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 3 ธ.ค.61 นางสังเวียน เพ็งน้ำคำ อายุ 48 ปี พร้อมญาติ เดินทางเข้าพบเจ้าหน้าที่ยุติธรรมจังหวัดสมุทรปราการ เพื่อขอความช่วยเหลือ กรณีนางสาวพรทิพย์ เพ็งน้ำค่ำ อายุ 30 ปี บุตรสาว เกิดป่วยกะทันหันรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองแทกู ประเทศเกาหลีใต้ อาการไม่ปลอดภัย จึงอยากพาตัวกลับมารักษาที่ประเทศไทย แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงมาขอคำแนะนำจากยุติธรรมจังหวัด เพื่อหารือข้อกฎหมายในการนำตัวลูกสาวกลับมารักษาตัวที่ประเทศไทย
ข่าวน่าสนใจ:
- สอ.สามัญศึกษาเพชรบูรณ์ประชุมใหญ่ โชว์กำไร 52 ล้าน พร้อมเลือกตั้งกรรมการและผู้ตรวจสอบกิจการ
- “ปลายฝน ต้นหนาว เคาท์ดาวน์ มิวสิคเฟส สุราษฎร์ธานี” ไฮไลท์ประกวดควายไทยมูลค่ากว่า 10 ล้าน
- ระทึก เพลิงไหม้บ้าน 2 ชั้นวอดทั้งหลัง น้องแมว 7 ชีวิต รอดตายหวุดหวิด โดย 3 ตัวโดนไฟลวกบาดเจ็บ
- ระทึก ไฟไหม้โรงงานผลิตกล่องโฟมใส่อาหารหวิดวอดหมดหลัง
ด้านนางสาวธัชภร วรศนันท์ ญาติผู้ป่วย ยอมรับว่าเมื่อประมาณ 8 เดือนก่อนหน้านี้ นางสาวพรทิพย์ได้ลักลอบเดินทางไปทำงานที่ประเทศเกาหลีใต้ เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว ทั้งที่มีโรคประจำตัว เป็นภูมิแพ้ และไวรัสตับอักเสบ และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นางสาวพรทิพย์ได้เกิดล้มป่วยและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล ด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตก มีเลือดคั่งในสมอง แพทย์ต้องดูแลอย่างใกล้ชิด หลังทราบเรื่อง ทางบ้านได้ส่ง นางสาวแสงเทียน เพ็งน้ำคำ น้องสาว ผู้ป่วยไปเฝ้าดูอาการ และประสานนายจ้าง เพื่อนำตัวนางสาวพรทิพย์กลับมารักษาในไทย แต่ก็มีข้อจำกัดหลายประการ จึงเข้าพบเจ้าหน้าที่เพื่อขอความช่วยเหลือ
หลังเจ้าหน้าที่นิติกร สำนักงานยุติธรรมจังหวัดสมุทรปราการ ทราบข้อมูลและพบว่าการช่วยเหลือนางสาวพรทิพย์ ไม่เข้าข้อกฎหมายแรงงานที่ทำงานในต่างประเทศ เนื่องจากเป็นกรณีลักลอบเข้าไปทำงานที่ประเทศเกาหลีใต้ จึงได้แนะนำและประสานงานให้ญาติเร่งเข้าพบเจ้าหน้าที่กองคุ้มครองและดูแลผลประโยชน์คนไทยในต่างประเทศ กรม การกงศุล กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อหาทางให้ความช่วยเหลือเป็นการเร่งด่วน เนื่องจากเห็นว่าอาการของนางสาวพรทิพย์ ในขณะนี้อยู่ในขั้นวิกฤต จำเป็นต้องเร่งพาตัวกลับมารักษาที่ประเทศไทย
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: