หนุ่มวัย 37 ปี ชาวกัมพูชา นั่งดื่มเหล้ากับเพื่อนเกือบ 10 คน ถูกชักมีดแทงคอ วิ่งหนีมาขอช่วยเหลือคนในปั้มน้ำมัน ส่วนคู่กรณีถูกแทงสวนกลับได้รับบาดเจ็บถูกเพื่อนนำส่งโรงพยาบาลไปก่อนแล้ว
เมื่อเวลา 21.00 น. วันที่ 13 มิถุนายน 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.บางเสาธง สมุทรปราการ ได้รับแจ้งมีผู้ได้รับบาดเจ็บถูกแทงที่ลำคอ ภายในปั้มน้ำมันแห่งหนึ่ง ซอยศรีวารีน้อย ตำบลศีรษะจรเข้น้อย อำเภอบางเสาธง จังหวัดสมุทรปราการ หลังรับแจ้งจึงประสานเจ้ากำลังเจ้าหน้าที่สายตรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กู้ชีพโรงพยาบาลบางเสาธง เจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เดินทางตรวจสอบ
ภายในปั้มน้ำมัน บริเวณหัวจ่ายน้ำมัน พบพนักงานปั้มน้ำมันกำลังประคองร่างให้การช่วยเหลือเบื้องต้น นาย ที เยา อายุ 37 ปี ชาวกัมพูชา ที่นอนหายใจโรยริน มีเลือดไหลทั่วร่างกาย มีบาดแผลถูกของมีคมแทงที่ลำคอ เจ้าหน้าที่กู้ชีพให้การช่วยเหลือปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนเร่งนำส่งโรงพยาบาลบางเสาธง ท่ามกลางความตกใจกับผู้เห็นเหตุการณ์ที่อยู่ภายในปั๊มน้ำมัน
จากสอบถาม นายวีระชน อุทกโยธะ รปภ.ของหมู่บ้าน บอกว่า ตนเองเพิ่งเลิกงานกำลังกลับบ้านสังเกตเห็นว่ามีคนเจ็บรายนี้กำลังถูกกลุ่มคนก่อเหตุวิ่งไล่ทำร้ายร่างกาย จนคนเจ็บต้องวิ่งเข้าปั้ม ส่วนฝั่งคนก่อเหตุก็บาดเจ็บเช่นกัน และถูกเพื่อนหามส่งโรงพยาบาล ตนเองจึงรีบมาดูคนเจ็บในปั๊ม
นายเจม พนักงานปั๊มและเป็นคนที่เข้าไปช่วยเหลือคนเจ็บ บอกว่า ตนเองกำลังนั่งพักอยู่ในปั๊ม ได้ยินเสียงตะโกนขอให้ช่วยด้วย พอหันไปก็พบว่าคนเจ็บวิ่งมามีเลือดไหลทั่วร่างกาย จึงรีบเข้าไปช่วย และใช้ผ้าซับเลือดจากนั้นประคองมาในปั๊ม และแจ้งเจ้าหน้าที่มาช่วยเหลือ
นายผดุงศักดิ์ พันธุ์เรือง อีกหนึ่งคนที่เห็นเหตุการณ์ขณะที่คนเจ็บวิ่งหนีตายจากกลุ่มผู้ก่อเหตุ บอกว่า ตนเองขับรถมาเจอพอดีเห็นคนเจ็บกำลังวิ่งหนีมาทางปั๊มจึงตามมาดู ส่วนกลุ่มผู้ก่อเหตุพบว่ามีมากกว่า 3 คน และ หนึ่งในนั้นก็บาดเจ็บค่อนข้างสาหัสด้วยเช่นกัน แต่เพื่อน ๆ พาส่งโรงพยาบาล
จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่าจุดเกิดเหตุอยู่ภายในห้องพักคนงานซึ่งอยู่ห่างจากปั๊มน้ำมันไปประมาณ 200 เมตร ก่อนเกิดเหตุทราบว่าทั้งหมดรวมเกือบสิบคนได้พากันดื่มสุราในบ้านพัก ก่อนจะมีปากเสียงและลงมือทำร้ายร่างกายกันจนมีผู้บาดเจ็บทั้งสองฝ่าย
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ ได้เดินทางตรวจสอบที่ปั๊มน้ำมัน และที่พักคนงานดังกล่าว ถ่ายภาพ และลงบันทึกประจำวัน อย่างไรก็ตามตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณดังกล่าว และจะเข้าสอบปากคำผู้บาดเจ็บอีกครั้ง เพื่อหาชนวนเหตุและติดตามตัวกลุ่มผู้ที่ลงมือก่อเหตุทั้งสองฝ่าย เพื่อนำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
