3 ร่างผู้เสียชีวิตเหตุรัวยิงยกครัว ถูกลำเลียงมาถึงวัดแล้ว ด้านลูกชายผู้เสียชีวิต อโหสิกรรม ให้ผู้ก่อเหตุ ส่วนอาการของน้อง 8 ขวบตอนนี้ พอมีสติอยู่บ้าง แต่ก็ยังต้องใส่ท่อช่วยหายใจอยู่ แพทย์แจ้งว่า ยังคงต้องพักฟื้น และติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง ด้านลูกสาวผู้ก่อเหตุ ตอนนี้จิตใจของตนก็มีสภาพย่ำแย่ ด้านคดีก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจ ยืนยันจะดูแลได้เท่าที่จะมีกำลังซัพพอร์ตได้
จากกรณีที่มี นายหนุ่ย หรือ นายพิศิษฐ์ อายุ 63 ปี ไปก่อเหตุใช้อาวุธปืนขนาด 9 มม. กระหน่ำยิง 16 นัด ใส่ครอบครัวของหญิงคนรัก ซึ่งประกอบด้วย นายวาสนา นางสาวรัตนาภัค นางทองศรี และเด็กหญิงวัย 8 ขวบ ซึ่งทั้งหมดเป็นครอบครัวเดียวกัน ก่อนจะยิงตัวเองและเสียชีวิตตามรวม ทั้งหมด 4 ราย เหตุเกิดช่วงค่ำที่ผ่านมา
ข่าวน่าสนใจ:
ล่าสุดเมื่อเวลา 15.00 น ร่างผู้เสียชีวิต ทั้ง 4 ร่าง ถูกลำเลียงมาโดยรถของ มูลนิธิสยามรวมใจ มาถึงวัดราษฎร์โพธ์ทอง ตำบลท้ายบ้าน อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ โดยร่างของผู้ก่อเหตุ กับ อีก 3 ร่างของเพื่อนบ้าน แยกกันทำพิธีกันคนละศาลา โดยบรรยากาศเป็นไปด้วยความโศกเศร้า
ด้านทาง นายสุภเสกข์ อายุ 19 ปี ลูกชายผู้เสียชีวิต เล่าว่า ตอนนี้ตนเสียใจคิดอะไรไม่ออก ตนอยากให้ฝั่งทางญาติของผู้ก่อเหตุมาช่วยเหลือทางครอบครัวของตน ส่วนอาการของน้องตอนนี้ พอมีสติอยู่บ้าง แต่ก็ยังต้องใส่ท่อช่วยหายใจอยู่ แพทย์แจ้งว่า ยังคงต้องพักฟื้น และติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาคนที่ดูแลครอบครัวก็มีทั้งแม่และพ่อ ทั้งสองคนเป็นเสาหลักของครอบครัว ตัวแม่เองไม่เคยมาเล่าปัญหาอะไรให้ตนฟัง ส่วนตัวก็พอจะรู้จักกับคนชื่อหนุ่ย ตนเรียกเขาว่าตา เขามาที่บ้านของตนบ่อยมานั่งสังสรรค์กับพ่อกับแม่ของตน ก็มีความสนิทสนมกันในระดับหนึ่ง ตนมีความกังวลเรื่องอนาคตของตนกับน้อง เพราะตอนนี้ตนได้กลายเป็นเสาหลักของครอบครัวแล้ว ในตอนแรกที่เกิดเรื่องตนก็มีความโกรธแค้นทางฝั่งของผู้ก่อเหตุ แต่เวลาต่อมาตนก็อโหสิกรรมให้ ตนเจอผู้ก่อเหตุครั้งสุดท้ายเมื่อวานก่อน เขาก็มานั่งเล่นตามปกติที่บ้าน เวลาคุยกันกับผู้ก่อเหตุบางทีเขาก็พูดดีบางทีเขาก็มีอารมณ์ที่ไม่ดี ตัวแม่เองเคยพูดฝากฝังเอาไว้ว่าให้ดูแลน้องถ้าเมื่อแม่ไม่อยู่ เมื่อสักครู่ตนได้จุดธูปบอกวิญญาณพ่อแม่และยายให้กลับบ้าน
ส่วน ทางครูของน้องวัย 8 ขวบ เล่าว่า คืบหน้าอาการของน้อง 8 ขวบน้องได้เข้าเอกซเรย์ ช่วงปอด ตอนนี้มีครู 3 คนที่เฝ้าน้องอยู่ เพราะช่วงตี 3 ตนกลับมาถึงโรงเรียนก็มีคนถามว่าน้องเสียชีวิตแล้วเหรอ ตนจึงบอกไปว่าจะเสียได้อย่างไร ตนจึงโทรประสานให้ครูอีกคนไปที่โรงพยาบาล เพื่อไปดูน้อง ครูที่ไปถึงแล้วได้บอกอาการว่าน้องยังคงอยู่ในห้องผ่าตัด ตอนนั้นน้องอยู่ในช่วงวิกฤต ช่องท้องของน้องช้ำในมาก แต่เมื่อช่วงบ่ายครูที่เฝ้าอยู่โทรมาบอกว่าอาการน้องเริ่มทรงตัวแล้ว แต่หมอยังไม่ให้พูดอะไรมาก น้องยังคงพักอยู่ในห้องสังเกตการณ์ เพราะต้องคอยดูอาการตลอด เพราะว่ายังไม่พ้นขีดอันตราย น้องโต้ตอบได้นิดหน่อย คนที่เข้าเยี่ยมน้องได้คือมีเพียงครูเท่านั้นเพราะน้องไม่มีญาติที่ไหน ช่วงเช้าน้องก็ได้รับการผ่าตัดไป 1 รอบ ครูประจำชั้นยังคงเฝ้าน้องอยู่เพราะน้องสนิทกับครูประจำชั้นมาก ตอนนี้ทางผอ.ก็ได้เข้าไปดูน้องที่โรงพยาบาลแล้วน้องยังไม่ทราบว่าคุณแม่เสียชีวิตแล้ว เพราะยังไม่มีใครบอกน้อง ส่วนตัวพี่ชายของน้องก็ได้เจอกันแล้วแต่ยังคงไม่มีสติมากนัก เพราะเมื่อคืน เขาทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน ยังดีที่มีนายตำรวจท่านนึงช่วยประสานหาญาติให้ ตอนนี้ไม่มีใครเฝ้าดูน้องมีเพียงครูและพี่ชายเท่านั้น
นางสาวโอ๋ ลูกสาวผู้ก่อเหตุ ตอนนี้จิตใจของตนก็มีสภาพย่ำแย่เพราะตนก็ถือว่าเป็นผู้สูญเสียเหมือนกัน ทางด้านคดีก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจและตนได้เข้าให้ปากคำเรียบร้อยแล้ว ตนต้องขอโทษทุกคนด้วยในส่วนของทางผู้บาดเจ็บและครอบครัวตนได้ดูแล อย่างไม่ขาดตกบกพร่องตั้งแต่มีเรื่องเกิดขึ้น ต่อจากนี้ตนก็จะทำตามหน้าที่ของตนจะดูแลทุกๆอย่าง เท่าที่ตนจะทำได้ในเบื้องต้นถ้าฝ่ายนั้นเรียกร้องอะไร ตนก็จะดูแลในส่วนที่ตนทำได้เท่านั้น เพราะไม่ใช่แค่เขาที่เป็นฝ่ายสูญเสียตนก็เป็นฝ่ายสูญเสียเช่นกัน ตนดูแลได้เท่าที่ตนจะมีกำลังซัพพอร์ตได้ ตัวตนเองก็แบกรับไม่ไหวเหมือนกันตั้งแต่เกิดเรื่องตนช่วยดูแลทางฝ่ายนั้นตลอดซื้อข้าวของซื้อเสื้อผ้าประสานครูให้ช่วยดูแล เบื้องต้นตนได้เจอทางญาติของฝ่ายนั้นแล้วแต่ยังไม่มีการพูดคุยกัน เพราะตนเองก็ยังไม่ไหว แต่ก็จะทำเท่าที่ตนทำได้
นายไพบูลย์ พินเที่ยง อายุ 59 ปี กำนัน ต.ท้ายบ้าน เล่าว่า เมื่อวานที่เข้าไปบ้านตนก็ไม่มีท่าทีอะไร จริง ๆ พี่หนุ่ย กับผมไม่ได้ติดต่ออะไรกัน พอดีเมื่อวานนี้ลูกชายลงรับเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้าน แล้วทีมงานเขาก็จะมาคุยกันตลอด และก็มีประชุมเรื่องของ อสม. เขาก็จะมา ส่วนใหญ่ที่บ้านก็จะต้อนรับทุกคนไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เพราะงั้นเขามาเนี่ยเขาก็มาปกติคุยแค่ประมาณไม่เกิด 2-3 คำ คุยว่าเป็นไงบ้างลูกพี่ สบายดีไหม ก็แค่นั้น ไม่มีได้มีการมาระบายอะไร และไม่เคยพูดถึง ส่วนเรื่องที่เขาพกปืนมาด้วย ตนไม่ทราบ ผมว่าถ้าดูจากภาพข่าวที่เป็นคลิป เขาวิ่งเข้าไปบ้านจากในซอยแล้วออกมา ซึ่งตนว่าไม่น่าจะใช่นะโดยความเห็นส่วนตัว ส่วนเรื่องที่เขากินดื่มจนเมาขาดสติ ตนว่าไม่นะ เห็นที่เขาคุยกันเขาดื่มเบียร์น่าจะขวดนึงหมดหรือเปล่าไม่แน่นะ แต่เขากินที่ไหนมาตนไม่รู้ แต่นานเขาไม่ได้มาที่บ้าน ครั้งนี้พึ่งเห็นเขาเป็นครั้งที่ 2 นานมากแล้ว ตอนกลับเขาก็ไม่ได้พูดอะไรแค่มาสวัสดีแล้วก็กลับ เขาไม่มีท่าทีว่าเมา เขาขี่มอไซค์สีแดงเขาออกไป เขาก็ไปปกติยังกอดตนอยู่บอกตนว่าเดี๋ยวไปธุระนิดนึงกลับบ้านก่อนมีคนมาหา แค่นี้แล้วก็ไม่มีอะไร จริง ๆ เราก็ต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวทั้งสองฝ่าย ทั้งน้อง ๆ ด้วย บางทีในฐานะเราเป็นผู้นำ เหตุอย่างนี้มันเกิดขึ้นมามันก็ทำให้สะเทือนใจ ว่ามันไม่ควรจะเกิดมันก็เกิด เราก็ไม่รู้จะทำยังไง โดยระหว่างที่อยู่ที่คุยกัน 2-3 คำ มันก็ไม่ได้มีอะไรที่จะบ่งบอกว่าจะเกิดเหตุการณ์ ในเรื่องการช่วยเหลือเยียวยาเมื่อสักครู่ตนได้คุยกับลูกสาวของพี่หนุ่ย เขาก็บอกว่าเดี๋ยวเขาจะดูเรื่องวัดเรื่องอะไรต่าง ๆ อำนวยความสะดวกซัพพอร์ตให้บางส่วนที่เขาสามารถซัพพอร์ตได้ ส่วนน้องที่อยู่โรงพยาบาลเขาก็เดินทางไปดู พวกเราก็ช่วยกันประสานเรื่องหมอเรื่องอะไรให้ จริง ๆ มันเป็นความผิดเฉพาะตัวในเรื่องบุคคล ที่นี้ลูก ๆ เองเนี่ย ครอบครัว ไม่มีใครให้อยากเกิด ผมเชื่อไม่มีใครให้อยากเกิด ทีนี้เรื่องลึก ๆ เราเนี่ยเราไม่รู้ว่าเกิดจากอะไร ส่วนเรื่องของเด็ก ๆ ทั้งสองคน ตนมองว่าต้องเป็นส่วนของญาติ ต้องเป็นผู้ตอบ ต้องคุยกัน ถ้าในเรื่องกฎหมายก็ต้องไปว่ากันว่าจะไปยังไงได้ เรื่องการเยียวยาที่ทางลูก ๆ ของพี่หนุ่ย ที่จะให้กับครอบครัวผู้ตาย อันนี้เขาก็จะดูแลให้บางส่วน อย่างทีแรกเขาจะไว้ 3 คืน แต่ทีนี้เขาจะขอคืนเดียว เพราะมาไกลจากต่างจังหวัด เท่าที่ได้พูดคุยกับทางญาติผู้เสียชีวิต แต่ในระยะยาวยังไม่ได้มีการพูดคุยกันว่าจะชดเชยอะไรให้ คือมันเป็นเรื่องเฉพาะตัว นิสัยใจของพี่หนุ่ย ตนว่าเขาก็ไม่ได้เป็นคนอารมณ์ร้อน ตนว่าเขาก็เป็นคนเฉย ๆ นะ ตนก็ไม่ได้อะไรกับเขาด้วย เนื่องจากนาน ๆ จะกันสักทีนึง อย่างเช่นเขาเข้าไปเห็นวิ่งรถผ่านที่บ้านคุยกัน เขาก็แวะ พึ่งจะแวะไป พอดีจังหวะลูกชายลงเลือกตั้งผู้ใหญ่บ้านด้วย แล้วก็มีการพูดคุยกัน เขาก็ไม่ได้มีสิทธิ์เลือกตั้งในหมู่ตน เพราะเขาอยู่คนละหมู่กัน เขาไม่เคยมีปัญหาเรื่องการทะเลาะกันกับเพื่อนบ้านเลย เท่าที่ตนอยู่ตรงนี้มา 30 ปี ถ้ามันมีเป็นพวกมีอิทธิพลอะไรต่าง ๆ ตนว่าก็คงต้องว่ากันตามกระบวนการกฎหมาย ทีนี้เรื่องมันเกิดโดยตัวบุคคลเราก็ไม่สามารถที่จะไปบล็อกได้ แต่ถ้าเรารู้เหตุการณ์อะไรขึ้น หรือเขาฉุนเฉียว เราก็ยังจะสามารถดึงรั้งเขาได้ แต่ทีนี้เราไม่รู้เลย เขาไม่พูดเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่มีบ่งบอกเลยว่า จะไปก่อเหตุหรือว่าจะไปคุยกับใคร บอกเพียงจะไปธุระ
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: