หนุ่มนิรนามเร่ร่อนนอนเสียชีวิตปริศนา ที่ใต้สะพานข้ามคลองสำโรง ซึ่งอยู่ติดกับสถานีรถไฟสายสีเขียว BTS สถานีสำโรง มีเลือดไหลออกทางปาก เบื้องต้นมีผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่าผู้ตายถูกหนุ่มสาวทำร้าย ทางด้านเจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การของผู้เห็นเหตุการณ์มากนัก รอผลชันสูตรเพื่อเป็นแนวทางในการสอบสวนติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
เมื่อเวลา 03.00 น.วันที่ 27 ตุลาคม 2562 ร.ต.ท.ณัฐวัฒน์ ตาแว่น รองสารวัตรสอบสวน สภ.สำโรงเหนือ สมุทรปราการ ได้รับแจ้งมีชายนอนเสียชีวิตอยู่ใต้สะพานข้ามคลองสำโรง ซึ่งอยู่ติดกับสถานีรถไฟสายสีเขียว BTS ห่างจาก สภ.สำโรงเหนือ ประมาณ 100 เมตร หมู่ 8 ต.สำโรงเหนือ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ หลังรับแจ้งจึงพร้อมด้วยอาสามูลนิธิป่อเต๊กตึ้งและมูลนิธิร่วมกุศลสมุทรปราการ เดินทางเข้าตรวจสอบ
ในที่เกิดเหตุบริเวณใต้สะพานข้ามคลองดังกล่าวได้พบร่างของชายไม่ทราบชื่ออายุประมาณ 45-50 ปี นอนเสียชีวิตอยู่บนลังกระดาษซึ่งเป็นเก็บของเก่าของคนเร่ล่อน โดยมีเลือดไหลออกมาทางปากโดยที่รอบ ๆ ปากบวมเจ่อจนเห็นได้ชัด ตามร่างกายมีร่องเขียวช้ำอยู่หลายแห่ง จึงประสานแพทย์เวรโรงพยาบาลสมุทรปราการ เดินทางเข้าร่วมตรวจสอบ ได้พบว่าที่บริเวณศีรษะมีบาดแผลถลอกกว้างประมาณ 3 x 2เซนติเมตร ลำตัวแข็งคาดว่าเสียชีวิตมานานกว่า 6 ชั่วโมง เบื้องต้นแพทย์ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเสียชีวิตด้วยเหตุใด
จากการสอบถามนายสมชาย กิจวิเชียร อายุ 64 ปี ที่มาพบศพได้เล่าว่า ปกติตนก็จะนอนอยู่ตรงนี้ทุกวัน แต่เมื่อช่วงหัวค่ำตนได้ไปเดินเที่ยวงานเจดีย์ ที่จัดขึ้นหน้าศาลากลางจังหวัดสมุทรปราการ และกลับมาประมาณ 3 ทุ่มของวานนี้ ได้เห็นผู้ตายนั่งอยู่และผู้ถูกชายหญิงคู่หนึ่งกำลังทำร้ายร่างกายผู้ตายโดยใช้กำปั้นต่อยแบบไม่นับจนร่างของผู้ตายล้มลงไปนอนอยู่กับพื้น จึงเข้าไปห้ามปรามจนผู้ก่อเหตุทั้งสองได้เดินจากไป ตนเห็นผู้ตายนอนคล้ายคนนอนหลับจึงไม่ได้สนใจอะไร และเดินไปนั่งดูทีวีที่โรงพัก จนกระทั่งเวลาประมาณตี 3 ของวันนี้ตนจึงได้ดินกลับมาเพื่อที่จะนอนพักผ่อน แต่ก็มาพบผู้ตายยังนอนนิ่งอยู่ จึงได้เข้าไปเรียกและจับตัวเขย่าแต่ผู้ตายก็ยังคงนอนนิ่ง จึงได้เอานิ้วอังที่ปลายจมูกของผู้ตายพบว่าไม่หายใจแล้ว จึงรีบเดินไปแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาตรวจสอบ
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ยังไม่เชื่อคำให้การของนายสมชาย ผู้เห็นเหตุการณ์มากนักและได้มอบร่างของผู้เสียชีวิตให้มูลนิธินำส่งชันสูตรที่สถาบันนิติเวชเพื่อตรวจสอบหาสาเหตุการเสียชีวิตอีกครั้ง เพื่อเป็นแนวทางในการสอบสวนติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
