สาววัย 22 ปี แท้งลูก โพสต์ถูกโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งไล่ให้ไปใช้สิทธิ์ประกันสังคม หวิดเอาชีวิตไม่รอดส่วนลูกในครรภ์ดับ
จากรณีที่หญิงสาววัย 22 ปี ได้เขียนข้อความพร้อมรูปถ่ายมาโพสต์ลงเฟซบุ๊กส่วนตัวชื่อ Sirikarn Ruamsampao โดยมีข้อความว่า หลังจากที่ตนได้เข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งใน อ.เมืองสมุทรปราการ ซึ่งอยู่ใกล้บ้านในอาการตกเลือดเกือบถึงแก่ชีวิตแต่หลังจากแพทย์ได้ทำการตรวจรักษาในเบื้องต้นซึ่งเด็กในครรภ์นั้นยังหัวใจเต้นตามปกติ ก่อนที่ทางเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลจะผลักดันให้ตนเองให้นั่งรถแท๊กซี่ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนอีกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นโรงพยาบาลตามสิทธิ์ประกันสังคม ซึ่งระหว่างนั้นตนปวดท้องมากจนแทบจะหมดสติ และถูกเข็นมาทิ้งไว้ข้างทางขึ้นโรงพยาบาลให้นั่งรถ หรือติดต่อญาติให้มารับตัวไปรักษาที่โรงพยาบาลตามสิทธิ์ประกันสังคม จนตนต้องเสียลูกในครรภ์ไป หลังข้อความดังกล่าวถูกโพสต์บนโลกโซเชียล ได้รับความสนใจและมีการแชร์ไปตามสื่อต่าง ๆ และมีชาวเน็ตเข้าไปแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก
ข่าวน่าสนใจ:
- ผกร.ป่วนไม่เลิก!วางบึ้ม 5 (แตก 4, กู้ 1) ทางไปสนามบิน
- ค่ายรถยนต์ ผุดบูธเพิ่มช่องทางปั๊มยอดช่วงปลายปี หลังตลาดยังซบยาวต่อเนื่อง
- วิกฤตพะยูนตรัง 7 วันสำรวจ พบแค่ตัวเดียว ทดลองวางแปลงอาหาร กลับถูกเมินไม่ยอมกิน
- ขาดสภาพคล่องขั้นรุนแรง! อธิบดีกรมท่าฯ ร่อนนส.ด่วน! แจ้งบอกเลิกสัญญาทิ้งงานก่อสร้างอาคารผู้โดยสารสนามบินตรัง 1.2 พันล.แล้ว…
ล่าสุดวันที่ 5 พฤศจิกายน 2562 ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบกับนางสาว สิริกาญจน์ ร่วมสำเภา อายุ 22 ปี เจ้าของโพสต์ที่บ้านพักซึ่งอยู่ภายในซอยเจริญสุข ถนนจักรพาก ต.ปากน้ำ อ.เมืองจ.สมุทรปราการ เพื่อสอบถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยนางสาวสิริกาญจน์ ได้เล่าว่า ตนตั้งครรภ์ได้ประมาณ 4 เดือนแล้ว เมื่อช่วงประมาณ 07.10 น. ของวันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ตนมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง และมีน้ำคล่ำและเลือดไหลออกจากช่องคลอด ทางสามีจึงรีบพาไปโรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้บ้าน เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล ได้รีบนำตนเข้าห้องฉุกเฉิน และพาไปทำการอัลตร้าซาวด์เพื่อฟังเสียงหัวใจของลูกในครรภ์โดยผลการเต้นของหัวทารกที่อยู่ในครรภ์เป็นปกติ แต่ทางแพทย์ที่ทำการอัลตร้าซาวด์ ได้แนะนำว่าทางที่ดีเพื่อความปลอดภัยของเด็กในครรภ์ควรฉีดยาระงับคลอด และมีการเคลื่อนย้ายตนขึ้นไปพักบนตึกผู้ป่วยแต่เมื่อขึ้นไปบนตึกผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาล กลับมาถามตนว่าทำไมตนไม่ไปรักษาที่โรงพยาบาลที่ตนมีสิทธิ์รักษา เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการรักษาและพยายามพูดย้ำว่าหากรักษาตัวที่โรงพยาบาลนี้จะต้องจ่ายค่ารักษาเอง พร้อมทั้งถามย้ำตนว่าจะย้ายโรงพยาบาลหรือไม่ ซึ่งในใจตนคิดว่าอาการตนหนักขนาดนี้ มีเลือดไหลมากขนาดนี้ทางโรงพยาบาล คงจะมีรถพยาบาลไปส่งยังโรงพยาบาลที่ตนมีสิทธิ์รักษาเพราะมีระยะทางห่างกันประมาณ 12 กิโลเมตร ซึ่งไม่ใช้ระยะทางที่ใกล้สำหรับผู้ป่วยอาการหนัก ตนจึงรับปากไปว่าจะย้ายโรงพยาบาลซึ่งตนเองก็ได้โทรศัพท์ไปปรึกษาคุณแม่และทางคุณแม่เองก็ถามย้ำว่าตนไหวเหรอ ซึ่งตนได้ตอบแม่ไปว่าไม่ไหวก็ต้องไหว เพราะทางเจ้าหน้าที่เขาให้ย้าย
จากนั้นเวลาประมาณ 09.00น.ตนได้โทรศัพท์ไปตามพี่สะใภ้ให้มาอยู่เป็นเพื่อนและมีทางเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลพาตนนั่งรถเข็นของโรงพยาบาล ลงรอเรียกรถแท็กซี่ที่หน้าโรงพยาบาลจุดรับส่งผู้ป่วยจนพี่สะใภ้ทนเห็นสภาพตนไม่ไหว จึงได้โวยวายขึ้นว่าผู้ป่วยหนักขนาดนี้ไม่มีรถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแต่กลับให้เรียกรถแท็กซี่ย้ายโรงพยาบาลเอง และในระหว่างทางที่ตนนั่งรถแท็กซี่ไปถึงโรงพยาบาลที่มีสิทธิ์ประกันสังคม ก็ได้คลอดลูกออกมาและเสียชีวิตลงในเวลาประมาณ 10.00 น.โดยตนเองเสียเลือดมากจนต้องมีการรับบริจาคเลือด ล่าสุดอาการปลอดภัยและได้ออกจากโรงพยาบาลมาเมื่อวานนี้ อย่างไรก็ตามในส่วนเรื่องลูกของตนนั้น ตนทำใจไว้แล้ว เนื่องจากทางห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลรัฐได้แจ้งว่าถ้าจะยื้อชีวิตต้องให้ยาระงับคลอด ซึ่งตนเองก็ยังมีความหวังแต่ที่ติดใจ ก็เรื่องที่ละเลยคนไข้และทำไมต้องย้ายโรงพยาบาลเร่งด่วนขนาดนั้น ทั้งที่ตนเองก็ยินดีที่จะจ่ายเงินเองอยู่แล้วเพราะตนห่วงชีวิตของตัวเองเหมือนกัน ทั้งนี้อยากเตือน การเลือกโรงพยาล ก็ควรที่ศึกษาขั้นตอนการเข้ารักษาเพราะแม้ตนป่วยฉุกเฉินก็ยังถูกละเลยเพราะเพียงสาเหตุที่ตนไม่ใช่คนไข้ที่มีสิทธิรักษาที่โรงพยาบาลเท่านั้น
ที่ตนติดใจมากที่สุดก็คือคำพูด มันไม่ใช่แค่แผนกเดียว ไม่ใช่แค่ชุดนั้นที่ตนเจอแต่หลายชุดหลายเคสแล้ว ตนพาลูกไปหาหมอก็ใช้คำพูดที่แย่มาก คือพูดเลยว่าแย่ และเป็นโรงพยาบาลที่ใช้สัญญาลักษณ์ของจังหวัดด้วยและติดใจอีกหลาย ๆ เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องสิทธิ์การรักษาติดใจมาก ตนมีประกันสังคมก็จริงแล้วเคสฉุกเฉินตนเลือกเข้าโรงพยาบาลไหนก็ได้ แต่ทำไมโรงพยาบาลนี้ถึงเลือกปฏิเสธที่จะรับตนเพราะอะไร
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: