“ก้าวไกล-เพื่อไทย” บุกกรมยุทธโยธาทหารบก ปราศรัยเลือกตั้งซ่อมหลักสี่-จตุจักร โค้งสุดท้าย ‘กรุณพล’ ยืนยันนโยบายปฏิรูปกองทัพ จะทำให้คนภาคภูมิใจในเครื่องแบบทหารอีกครั้ง ส่วน ‘สุรชาติ’ ยืนยันพร้อมสู้เพื่อสวัสดิการทหาร และปฏิรูประบบราชการ เพื่อให้รับใช้ประชาชนได้อย่างแท้จริง
วันที่ 27 มกราคม 2565 ที่กรมยุทธโยธาทหารบก เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร (กทม.) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล, นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล, รังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ร่วมเวทีปราศรัยหาเสียงให้กับ นายกรุณพล เทียนสุวรรณ (เพชร) ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขต 9 จตุจักร-หลักสี่ ท่ามกลางทหารและครอบครัวที่มาร่วมฟังเป็นจำนวนมาก
จากนั้นนายสุรชาติ เทียนทอง ผู้สมัครเลือกตั้งซ่อม ส.ส. กทม. เขต 9 พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายสรวงศ์ เทียนทอง ผู้อำนวยการเลือกตั้ง นางสาวขัตติยา สวัสดิผล อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรค ก็ได้ขึ้นปราศรัยหาเสียงต่อหลังจากพรรคก้าวไกลปราศรัยโดยทันที
‘พิธา’ ชูโนบายปฏิรูปกองทัพให้ทันสมัย – ‘อมรัตน์’ ขอ ปชช.เลือก ‘กรุณพล’ ส่งเสียง “ไม่เอาประยุทธ์”
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กล่าวว่า การที่มีโอกาสได้มาพูดคุยกับกองทัพแบบนี้ถือเป็นเรื่องดี ในการที่ฝ่ายนิติบัญญัติได้มาทำความรู้จักกับทหาร เพราะหลายท่านอาจไม่รู้จักตน แต่ก็คงเคยได้ยินเรื่องบางเรื่องเกี่ยวกับพรรคก้าวไกลมาบ้าง แต่ทว่าก็คงไม่ใช่จากปากของพวกเราอย่างวันนี้ ยืนยันว่าพรรคก้าวไกลเล็งเห็นถึงความสำคัญของภารกิจทหาร และยืนยันที่จะปฏิรูปกองทัพให้ทันสมัย ให้เป็นมืออาชีพ การใช้งบประมาณของทหารไม่ไปเบียดเบียนภาษีประชาชน นี่คือสิ่งที่เรามุ่งมั่นตั้งใจจะทำ และเป็นสิ่งที่คุยกันได้ แต่ทว่าสิ่งที่ยอมรับไม่ได้เลย คือ ทหารกับประชาธิปไตยไม่อยู่คู่กัน เมื่อทหารเหยียบทับระบอบประชาธิปไตย
ส่วน นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ระบุว่า มีงานวิจัยออกมาว่า ไม่มีประเทศใดในโลกเจริญได้จากการทำรัฐประหาร และไม่มีประเทศใดที่จะเจริญก้าวหน้าได้จากการขนนายพลในกองทัพมาบริหารประเทศ หากนับจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ระยะเวลากว่า 90 ปีที่ผ่านมา ช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่ตกต่ำของระดับสิทธิมนุษยชนของคนไทยทั้งประเทศ เวลา 8 ปีของคุณประยุทธ์นั้นมากเกินพอแล้ว ทั้งนี้ นายกรุณพล ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับคนที่ต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตย สำหรับการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้สำคัญมาก ตนอยากให้พี่น้องประชาชนในเขตจตุจักร-หลักสี่ ให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งซ่อมในครั้งนี้เท่ากับการเลือกตั้งใหญ่ เพราะผลของการเลือกตั้งจะเป็นการบอกกับรัฐบาลประยุทธ์ว่า ประชาชนไม่เอาคุณประยุทธ์แล้ว ตนอยากให้พี่น้องประชาชนที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง ออกไปส่งเสียงนี้ผ่านการเลือกตั้ง นี่คือการส่งเสียงที่ดีที่สุดโดยไม่ต้องลงถนนให้เสียเลือดเนื้อ
ขณะที่ นายรังสิมันต์ โรม กล่าวว่า พรรคก้าวไกลพร้อมที่จะพุ่งเข้าหาปัญหา เราได้พิสูจน์ในสภามาหลายครั้งแล้วว่าการทำหน้าที่ของเรา เป็นการทำหน้าที่เพื่อทหาร ตำรวจ ข้าราชการชั้นผู้น้อย เราถูกใส่ร้ายมากมายว่าเรารังเกียจกองทัพ เข้ามาเพื่อยกเลิกกองทัพ แต่ถ้าไปดูดี ๆ เชื่อว่าถ้าทหารชั้นผู้น้อยถูกรังแก เพชร กรุณพล คนนี้จะเป็นคนที่ยืนหยัดต่อสู้เพื่อปกป้อง เขาพร้อมชนกับนายพลทุกคนเพื่อปกป้องทหารชั้นผู้น้อย เราไม่กลัวนายพล ไม่กลัวผู้มีอำนาจ เราพิสูจน์ให้เห็นมาแล้วว่าเราไม่ใช่พรรคการเมืองที่ประนีประนอม แต่เราพร้อมชน นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เราตั้งคำถามกับนายพล ที่หลาย ๆ ครั้งเขาหาประโยชน์จากท่านมากกว่าทำเพื่อประเทศ
ด้าน นายกรุณพล เทียนสุวรรณ ผู้สมัครรับเลือกตั้งเขตจตุจักร-หลักสี่ ระบุในตอนหนึ่งของการปราศรัยว่า ตนเองมีความผูกพันกับข้าราชการ กับทหาร เพราะพ่อจบโรงเรียนนายร้อยตำรวจ มีเพื่อนเป็นทหารหลายคน สิ่งหนึ่งที่มีคำถามมาก ๆ คือ ทำไมนายทหารหลายคนที่เกษียณจากนายพลแล้วมีเงินเก็บมากมาย เขาบอกว่าไม่ได้โกง แต่เงินส่วนนี้บางครั้งก็มาจากการทำธุรกิจซึ่งขูดรีดเอาจากทหารชั้นผู้น้อย ซึ่งทหารชั้นผู้น้อยเมื่อเริ่มรับราชการ ครอบครัวของเขาอยู่บ้านพักทหารแบบไหน 30 ปีผ่านไปก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ขณะที่นายทหารนายพลมีบ้านใหญ่โต ภรรยานายพลก็ขับรถหรู มีกระเป๋าแบรนด์เนมราคาแพงใช้ และนี่คือหนึ่งในเหตุผลที่พรรคก้าวไกลเรามีนโยบายปฏิรูปกองทัพ เพื่อทำให้ทหารชั้นผู้น้อยอยู่ได้อย่างมีศักดิ์ศรี มีสวัสดิการ และอยู่อย่างที่ผู้คนชื่นชม ทำให้คนภาคภูมิใจในเครื่องแบบทหารอีกครั้ง
‘สุรชาติ’ เพื่อไทย เผยไม่เคยเห็นกองทัพเป็นศัตรู ลั่นพร้อมสู้เพื่อสวัสดิการทหาร-ปฏิรูประบบราชการ
ต่อมา นายสุรชาติ ได้ขึ้นปราศรัยต่อ พร้อมกล่าวว่า ในฐานะผู้สมัคร ส.ส. พรรคเพื่อไทย มาในนามคนไทยคนหนึ่ง ถ้าทุกท่านในที่นี้ถอดเครื่องแบบทหาร ข้าราชการออก เราทุกคนต่างก็คือประชาชน โดยปฎิเสธไม่ได้ 10 กว่าปีที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยและกองทัพเป็นเหมือนเส้นขนาน สถานการณ์บีบให้เราเหมือนเป็นศัตรูกัน ตนในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ไม่เคยเห็นกองทัพเป็นเส้นขนานหรือศัตรู เราต่างเป็นพี่น้องประชาชนคนไทยเหมือนกัน
นายสุรชาติ กล่าวต่อไปว่า ตนใช้เวลา 17 ปี อยู่กับพี่น้องประชาชน แม้ไม่เคยเป็น ส.ส.ที่นี่สักครั้งเดียว ตนผิดหวังมากกว่าสมหวัง เเต่ได้เรียนรู้การเป็นผู้รับใช้ประชาชนในทุกวัน ตนมีความฝันให้ข้าราชการทุกหน่วยงานเป็นผู้รับใช้ประชาชนเช่นเดียวกับที่ตนตั้งใจทำมาโดยตลอด ดังนั้น เราต้องยอมรับความจริง ไม่ปฎิเสธการเปลี่ยนเเปลง พรรคเพื่อไทยยืนยันว่าไม่มีความคิดล้มล้าง หรือสลายหน่วยงานของกองทัพ แต่ต้องการปรับปรุง เปลี่ยนเเปลง เพื่อคุณภาพชีวิตของข้าราชการที่ดีขึ้น และการรับใช้ประชาชนได้อย่างแท้จริง
สำหรับเรื่องงบประมาณของกองทัพนั้น นายสุรชาติ ระบุว่า ตนเข้าใจความจำเป็น ไม่ว่าประเทศใด กองทัพที่เข้มแข้งคือความมั่นคงทางอาณาเขตของประเทศนั้น เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมี แต่ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่สภาวะข้าวยากหมากแพง ต้องกู้หนี้ยืมสิน ขณะที่งบประมาณกองทัพปีนี้ที่จะเสนออยู่ที่ 3.15 ล้านบาท รัฐจึงจำเป็นต้องกู้เงินมาชดเชยเยียวยาเศรษฐกิจที่ย่ำแย่มาหลายปี พร้อมยืนยันว่าพรรคเพื่อไทยไม่เคยมีอคติกับกองทัพ แต่ต้องการสร้างสมดุลให้เกิดความสอดรับกับรายจ่ายและรายได้ของประเทศ อาวุธยุทโธปกรณ์เป็นสิ่งสำคัญ เเต่ต้องพิจารณาจัดลำดับความจำเป็นเร่งด่วน
นายสุรชาติ ยังกล่าวถึงความจำเป็นของสวัสดิการที่ดีสำหรับกองทัพ ทั้งที่พักอาศัย อาหาร การศึกษา ของกำลังพล พร้อมยืนยันว่า เมื่อปี 2562 ที่พรรคเพื่อไทยเคยเสนอให้ยกเลิกการเกณฑ์ทหารนั้น ไม่ใช่การตัดกำลังพล แต่คือจัดสรรงบประมาณอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ มาพัฒนาคุณภาพชีวิตของบุคลากรในกองทัพ จากจุดนั้นเองจะนำไปสู่สิ่งใหญ่กว่าเช่นการยกเลิกการเกณฑ์ทหารได้
“ความมั่นคงของชาติเริ่มจากความมั่นคงในชีวิตของประชาชนก่อน ประชาชนคือทรัพยากรที่มีค่าที่สุดของประเทศนี้ เพราะฉะนั้นความมั่นคงในชีวิต เริ่มต้นจากเศรษฐกิจ ปากท้อง การศึกษา การพัฒนาตัวเองตามโลกที่เปลี่ยนไป การที่เราจะเรียกร้องหาจิตสำนึกจากประชาชน โดยที่เรายังไม่สามารถทำให้ปากท้องเขาอิ่ม ทำให้ความเป็นอยู่เขาดีได้ ถือเป็นคำพูดที่ไร้ความรับผิดชอบของคนมีอำนาจ เราเริ่มต้นที่จุดเล็ก การปฏิรูป เปลี่ยนแปลง พัฒนา ด้วยทัศนคติที่ดี และความตั้งใจที่ดี ผมเชื่อว่าเราเริ่มต้นจากตรงนี้ได้” นายสุรชาติ กล่าว
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: