พบเอกสารจากโรงเรียน ใน จ.มหาสารคาม ว่อนทั่วออนไลน์ พบสั่งตัดคะแนนหากเด็กร้องไห้ระหว่างสอบเข้าเรียนอนุบาล ด้านนักวิชาการแสดงความไม่เห็นด้วย ชี้เด็กมีสิทธิ์ร้องไห้-ระบบแพ้คัดออกทารุณเด็กวัยปฐมวัย
เมื่อวานนี้ (3 กุมภาพันธ์ 2565) โลกออนไลน์เผยแพร่เอกสารประกาศโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม (ฝ่ายประถม) เรื่อง ข้อปฏิบัติในการทดสอบนักเรียนชั้นอนุบาล 1-3 ปีการศึกษา 2565 พร้อมตั้งคำถามต่อคำสั่งที่เกิดขึ้นจากการตัด 3 คะแนน หากเด็กร้องไห้ในระหว่างการสอบเข้าชั้นอนุบาล โดยเอกสารดังกล่าว ประกาศเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2565
โดย ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ ศาสนา และวัฒนธรรม กล่าวผ่านเฟซบุ๊ก “Tongthong Chandransu” ว่า “ร้องไห้ให้กับสิทธิในการร้องไห้ที่ถูกพรากไป ได้แต่ภาวนาให้ประกาศฉบับนี้เป็นของปลอม หมายเหตุ : ผมเองร้องไห้เสียแล้วจะถูกหักคะแนนไหมครับ”
ส่วน ดร. วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์ นักวิชาการอิสระด้านการศึกษา กล่าวผ่านเพจ “Wiriyah Eduzones” ว่า “Fanpage 10 กว่าคนส่งมาให้ เรากำลังทำอะไรกับเด็ก ๆ เป็นเด็กควรมีสิทธิ์ ร้องไห้ นะครับ”
ขณะที่ รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) กล่าวผ่านเพจ “บันทึกหมอเดล” ว่า “มีผู้ใหญ่ท่านส่งมาท่านถามว่าอย่างนี้ได้ด้วยหรือ ? ไม่ได้แน่นอนครับ ไม่ควรทำ และไม่ควรมีใครเอาอย่างด้วย
การทดสอบ แบบ High Stake Test [ระบบแพ้คัดออก]ที่มีได้ มีตก มีคะแนน หักคะแนน เพื่อนำไปประเมินผล เป็นกระบวนการเชิงระบบที่ทารุณเด็ก โดยไม่เข้าใจ เห็นใจจิตใจของเด็ก”
นพ.สุริยเดว ระบุว่า คำว่าปฐมวัย นั้น UNESCO ให้นิยามตั้งแต่ครรภ์มารดา จนถึง 8 ปี แต่บ้านเราแรกเกิดถึงหกปี โปรดระลึกว่าเด็กทุกคนไม่ใช่ผ้าขาว ฉะนั้นเด็ก ๆ วัยนี้กำลังปรับตัว ปรับพื้นฐานอารมณ์ สังคม เขาไม่ผิด พร้อมย้ำว่าการสอบวัดผลใด ๆ ในช่วงปฐมวัย ผิดหลักจิตวิทยาพัฒนาการทั้งหมด
นพ.สุริยเดว กล่าวต่อไปว่า “โดยหลักจิตวิทยาพัฒนาการ การประเมินพัฒนาการนั้น ในทางจิตวิทยา เขาประเมินท่ามกลางเด็กที่กำลังเล่นเพลินๆ มีความสุขกายสุขใจ หากไม่พร้อมในการประเมิน นักจิตวิทยาก็จะหยุดไว้ก่อน แล้วค่อยนัดใหม่ ไม่มีการหักคะแนนใดๆ แต่สามารถเขียนบันทึก caution ได้ และสามารถมาเขียนเชิงพฤติกรรมได้เพื่อนำไปสู่การวางแผนพัฒนา การประมวลผลพัฒนาการ ทำในท่ามกลาง ความพร้อมของเด็ก ที่แต่ละคนจะไม่เหมือนกัน”
“ฉะนั้นการประเมินพัฒนาการที่หนังสือฉบับนี้ โรงเรียนแห่งนี้กำลังปฏิบัตินั้น ที่เรียกว่าทดสอบแล้ว บังคับการเข้าฐาน หักคะแนนเมื่อทำไม่ได้หรือร้องไห้ จึงไม่สามารถอ้างว่านี่คือการประเมินพัฒนาการเพื่อประโยชน์ของเด็ก (ละเมิดสิทธิเด็ก) ยิ่งเป็นการประเมินเพื่อรับสมัครเข้าเรียน ยิ่งสะท้อนว่า นี่แหละคือ High Stake Test [ระบบแพ้คัดออก] ย้ำว่าการใช้ High Stake Test กับเด็กปฐมวัย จัดเป็นระบบทารุณกรรมเด็ก ผิดหลักการตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.เด็กปฐมวัย ครับ” นพ.สุริยเดว กล่าวปิดท้าย
นอกจากนี้ นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกรมสุขภาพจิต กล่าวผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว Varoth Chotpitayasunondh ว่า “การร้องไห้ของเด็กเป็นเรื่องปกตินะครับ น้ำตาที่ไหลออกมาไม่ได้แปลว่าเด็กอ่อนแอ ไม่ฉลาด ไม่ดี หรือไม่มีวินัย
เสียใจก็ร้องได้ ผิดหวังก็ร้องได้ เจ็บก็ร้องได้ การร้องไห้เป็นเพียงการสื่อสารวิธีหนึ่งของเด็ก เด็กที่ร้องไห้ได้คือเด็กที่ยังมีชีวิตอยู่”
นพ.วรตม์ ระบุต่อว่า การอยากให้เด็กหยุดร้องไห้ ก็ไม่ได้เกิดจากการสั่งให้หยุดหรือเราออกกฎระเบียบห้ามเด็กร้อง แต่เกิดจากการที่ผู้ใหญ่พูดคุยและรับฟังเด็กอย่างเข้าใจ เปิดโอกาสให้เค้าระบายความรู้สึกด้วยวิธีการที่ถูกต้องและได้ใช้เวลาควบคุมมันด้วยตัวเอง ส่วนผู้ใหญ่เองสามารถช่วยให้เด็กเข้าใจและจัดการอารมณ์ตัวเองได้ดีขึ้น ด้วยท่าทีที่สงบและอ่อนโยน พร้อมคำพูด เช่น “หนูรู้สึกเสียใจได้นะ” “หนูร้องไห้ได้ ไม่เป็นไร” “เรื่องนี้มันคงจะยากสำหรับหนู” “ถ้าหนูพร้อม หนูเล่าได้นะ” “หมอตั้งใจฟังหนูอยู่” “หมออยากช่วยหนูนะ”
“เรื่องที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจก็ทำให้ใค รๆ ร้องไห้ได้ทั้งนั้นแหละครับ คล้ายๆอาการของจิตแพทย์เด็กแถวนี้ตอนที่เห็น รร สาธิต หนึ่ง ออกหนังสือราชการให้หักคะแนนเด็กฐานละ 3 คะแนน หากเด็กคนนั้นร้องไห้ในห้องสอบ จิตแพทย์เด็ก กระซิก กระซิก เลย” นพ.วรตม์ กล่าวปิดท้าย
นพ.จิรรุจน์ ชมเชย กุมารแพทย์เชี่ยวชาญโรคระบบหายใจ กลุ่มงานกุมารเวชกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา กล่าวว่า “ตอนนี้คนที่ร้องไห้หนักมาก และถูกหักคะแนนจากสังคม ดูเหมือนไม่ใช่เด็กที่จะเข้าสอบอนุบาลนะ… จากเปิดสอบเด็ก อาจกลายเป็นผู้ถูกสอบ ก่อนเด็กจะร้องไห้ มีผู้ใหญ่ร้องไห้นำไปก่อนแล้ว.. #เด็กมีพัฒนาการตามวัย #ต้องทำความเข้าใจ #อย่าให้การศึกษาไทยตกต่ำเหมือนอัตราการเกิดแบบมีคุณภาพ”
