โกงตรงไหนเอาปากกามาวง! นายกฯ โต้ ‘ชลน่าน’ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย หลายประเด็น ยืนยัน “จะไม่ทุจริตโดยเด็ดขาด” พร้อมรับข้อเสนอฝ่ายค้านไปปรับการทำงาน
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 โดยระบุว่า พร้อมรับฟังข้อเสนอแนะจาก ส.ส. ซึ่งเรื่องใดที่เป็นประโยชน์พร้อมนำไปแก้ไข แต่ในขณะนี้มีหลายสถานการณ์ ซึ่งรัฐบาลพยายามแก้ปัญหามาโดยตลอด และเป็นการทำงานร่วมกับคณะรัฐมนตรี (ครม.) พรรคร่วมรัฐบาล และข้าราชการทั่วประเทศ ทั้งนี้ จากข้อมูลของฝ่ายค้านที่กล่าวหารัฐบาลนั้น หลายอย่างไม่ตรงกับรายละเอียด ซึ่ง ครม. พร้อมชี้แจงและแนวทางแก้ปัญหา ความก้าวหน้าในการทำงาน และทั้งหมดอยู่ที่ความเชื่อมั่นของประชาชนทั้งประเทศ
ส่วนที่ระบุว่า นายกรัฐมนตรีเข้ารัฐสภาควรวางบทบาทให้เหมือนกับรามเกียรติ์นั้น นายกรัฐมนตรี แสดงความเห็นว่า ตนคงเล่นบทพระราม พระลักษณ์ แต่อีกฝ่ายก็คงต้องเล่นเป็นทศกัณฐ์ และคิดว่าประเทศชาติคงไม่ใช่แบบรามเกียรติ์ แต่ท้ายที่สุด รามเกียรติ์ก็รู้อยู่แล้วว่าทศกัณฐ์เป็นอย่างไรในตอนท้าย ตนจะไม่กล่าวอะไรอีกที่จะทำให้เกิดความวุ่นวาย หรือทำให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง พยายามจะระมัดระวังอย่างถึงที่สุด
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลนี้ไม่ใช่รัฐบาลเดิมจากปี 2557 รัฐบาลนี้ได้รับการแต่งตั้งตามรัฐธรรมนูญปี 60 ซึ่งรัฐมนตรีที่เคยอยู่ในอำนาจก็ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตัวบุคคลมีเพียง 4 คนที่มาจากรัฐบาลเดิม นอกนั้นอีก 32 คน เป็นคนใหม่ทั้งหมด โดยนโยบายย่อมแตกต่างกันอย่างแน่นอน และยืนยันว่า การปฏิบัติหน้าที่ของตนจะไม่มีการทุจริตโดยเด็ดขาด และอย่ากล่าวหาว่ามีการบริหารส่อไปในทางทุจริตส่งผลต่องบประมาณ หากไม่มีหลักฐานหรือคดีความที่ทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่น
“ผมยืนยันผมเข้ามาตรงนี้ จากวันนั้นถึงวันนี้และวันต่อ ๆ ไป ถ้าผมยังอยู่ ผมจะไม่มีการทุจริตโดยเด็ดขาด ทั้งนโยบาย เจตนารมณ์ ตัวผม ย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์มาละกันเรื่องเหล่านี้” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขณะนี้ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ เป็นวิกฤติของโลก ของภูมิภาค และของทุกประเทศ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่งผลให้การแก้ปัญหาเกิดความยุ่งยาก และรัฐบาลต้องเข้าไปแก้ไขปัญหาทั้งหมดในเชิงโครงสร้าง ทั้งเรื่องกลไก วิธีการ และกฏหมาย ส่วนการแก้ปัญหาโควิด-19 นั้นต้องแก้ปัญหาโดยต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชน และต้องเจอปัญหากับการแพร่ระบาดโควิด-19 ในหลายระลอก จนไม่สามารถจัดงานปีใหม่ได้ และในวันนี้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่
ส่วนข้อกล่าวหาที่ระบุว่ารัฐบาลแก้ไขปัญหาเรื่องโควิด-19 และการจัดหาวัคซีนป้องกันล่าช้านั้น พล.อ. ประยุทธ์ ยืนยันว่า วันนี้สามารถจัดหาวัคซีนได้เพียงพอ ซึ่งช่วงแรกยังมีความไม่พร้อมของวัคซีน แต่วันนี้มีการพัฒนาวัคซีนได้สำเร็จ ไทยก็สามารถจัดหาวัคซีนได้ครบถ้วน สามารถฉีดวัคซีน 100 ล้านโดสได้สำเร็จก่อนเป้าหมายที่ตั้งไว้สิ้นปี 64
นายกรัฐมนตรี ชี้แจงต่อไปว่า การกู้เงิน 1 ล้านล้านบาท มาเพื่อฟื้นฟูในหลายโครงการเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนประชาชนจากการแพร่ระบาดโควิด-19 และสามารถเปิดประเทศได้ในเดือนพฤศจิกายน 2564 และสามารถเปิดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ในเดือนกรกฎาคม 2564 มีการออกมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการอย่างต่อเนื่อง
“เศรษฐกิจไทยใน 9 เดือนแรก ปี 64 สามารถพลิกกลับมาเป็นบวกได้ที่ 1.3% ต่อปี เกินกว่าที่ทุกฝ่ายคาดหมาย วันนี้ไตรมาส 4 ก็สูงขึ้น เศรษฐกิจในปี 64 คาดว่าจะสูงไว้กว่าที่ประมาณการณ์ไว้เดิม ถึงแม้จะไม่สูงมากนัก เพราะเศรษฐกิจเราพึ่งพาการท่องเที่ยวจากต่างประเทศมากพอสมควร” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นอกจากนี้ รัฐบาลยังสามารถลดจำนวนลูกหนี้ ที่ต้องการขอพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย จาก 12.5 ล้านบัญชี เหลือต่ำกว่าครึ่งหรือกว่า 6 ล้านบัญชี มีการจ้างงานมากขึ้น จำนวน 37.9 ล้านคน ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาส 3 ของปี 2564 จำนวนคนตกงานน้อยลง นักศึกษาจบใหม่ทำงานในภาคเอกชนกว่า 66.78% ทำงานในภาครัฐ 20% และที่เหลือประกอบอาชีพอิสระหรือธุรกิจส่วนตัว และแม้ไม่มีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แต่รัฐบาลก็มีมาตรการลดค่าครองชีพให้กับนายจ้างและแรงงานมาโดยตลอด
ส่วนการลงทุนภาคเอกชนมีการขยายตัว การเปิดกิจการใหม่ในปี 64 มีมากกว่าบริษัทที่ปิดกิจการกว่า 4 เท่าตัว ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจสูงขึ้น ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนสูงขึ้นกว่า 6 แสนล้านบาทดีกว่าปีก่อนที่จะเกิดโควิด การขอรับการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายจำนวน 2,339 โครงการ มูลค้าลงทุน 7.7 แสนล้านบาท กระจายไปทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ซึ่งตัวเลขเหล่านี้เป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยไม่ได้แย่อย่างที่พูด ถ้าหากล้มเหลวคงไม่มีใครเข้ามาลงทุนแน่นอน
ด้านการส่งออก ในปี 2564 มีตัวเลขที่ดีขึ้นมาก มีมูลค่ารวม 8.5 ล้านล้านบาท รวมถึงการจัดอันดับความน่าเชื่อทางการเงินการคลังของไทย จาก 3 สถาบันการจัดอันดับของโลก ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงที่ BB+ และอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ สะท้อนการเงินการคลังของไทยยังมีความเข้มแข็งและมีความน่าเชื่อถือในระดับสูง ถึงแม้มีการปรับเพดานหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น แต่ยังอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังตามกฏหมาย
พล.อ. ประยุทธ์ ยืนยันว่า ไทยพร้อมเปิดประเทศอย่างยั่งยืน แม้จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการค้า แต่ต้องทำควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมรับมือกับโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ และยังมาตรการที่เข้มงวดในการตรวจหาเชื้อโควิด-19
ส่วนในช่วงของการฟื้นตัวอาจต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องเงินเฟ้อ ซึ่งเกิดจากความต้องการใช้ที่มากขึ้นจากการฟื้นตัวของโลก ราคาพลังงานที่แพงขึ้นเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก รัฐบาลพยายามเต็มที่ในการดูแลปัจจัยการผลิตที่มีผลกับราคาสินค้าอุปโภคบริโภค มีการเตรียมการอย่างเป็นระบบและสั่งการเร่งด่วน เพื่อแก้ปัญหาอย่างตรงจุด
“ทั้งหมดนี้ เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนทุกกลุ่ม ไม่เคยมีรัฐบาลไหนที่นั่งสบายได้ในสถานการณ์แบบนี้ รัฐบาลนี้ไม่มีความสุข ตราบใดที่ประชาชนไม่มีความสุข แต่ความสุข ความพอใจจะมากน้อยเพียงใด มันอยู่ที่การบริหาร อยู่ที่งบประมาณที่มีอยู่ มันอยู่ที่สถานการณ์ต้องมีความสงบเรียบร้อย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
ส่วนโครงการต่าง ๆ ที่ออกมา หากโครงการใดที่ ส.ส. ฝ่ายค้าน เห็นว่าประชาชนไม่พอใจ ก็ขอให้บอกมา ซึ่งทุกโครงการที่ทำต่อเนื่อง ไม่ได้หวังคะแนนเสียง แต่ต้องการให้เงินช่วยเหลือต่าง ๆ ถึงประชาชนโดยตรง
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลจะเร่งส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศ เตรียมความพร้อมทั้งในส่วนของตัวรถยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ และการถ่ายทอดเทคโนโลยีสำหรับการผลิตเองในอนาคต ซึ่งรัฐบาลวางไว้ทั้งระบบแล้ว
สำหรับปัญหาโรคระบาดในสุกรอย่าง ASF นั้น พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวว่า ได้เตรียมการรับมือตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งเกิดการระบาดในบางพื้นที่ ไม่ได้ระบาดทั้งทั้งประเทศ แต่ราคาสุกรกลับเพิ่มสูงขึ้นทั้งประเทศ และพบว่ามีการกักเก็บเนื้อสุกรเป็นจำนวนมาก ซึ่งในขณะนี้มีคดีอยู่ในศาล และต้องถูกลงโทษทางกฏหมาย ซึ่งไม่ใช่เป็นการรังแก
ส่วนการแก้ปัญหาราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่ปรับตัวสูงขึ้นนั้น เป็นการปรับราคาตามฤดูกาลสินค้า และความต้องการของตลาด ซึ่งได้มีการสั่งการให้ตรวจราคาสินค้าทุกประเภทว่าสูงขึ้นเพราะสาเหตุใด ราคาปรับตัวสูงขึ้นจากต้นทุนสินค้า หรือการฉวยโอกาสปรับราคา
พล.อ. ประยุทธ์ ยืนยันว่า พร้อมจะกระจายอำนาจให้กับท้องถิ่น แต่ไม่สอดคล้องกับการจัดเก็บรายได้ของท้องถิ่น ซึ่งรัฐบาลพยายามทำให้ท้องถิ่นมีรายได้ที่มากขึ้น ส่วนเรื่องยาเสพติดเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ดำเนินการจับกุมเป็นจำนวนมาก ซึ่งได้รับรายงานทุกวัน
นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า สิ่งที่กังวลมากที่สุด คือ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสังคม แต่ชินแล้วกับการใช้คำพูดวาจาหยาบคาย หรือชินกับการแสดงกิริยาที่หยาบคาย เคยชินกับความรุนแรง และฝ่าฝืนกฎหมาย และท้ายที่สุดกลับมาด่าเจ้าหน้าที่
“ต่างคนต่างเล่นกันคนละบทบาทอยู่แล้ว ท่านให้ผมเป็นพระลักษณ์ พระรามก็แล้วแต่ ท่านอยากเป็นทศกัณฐ์ก็แล้วแต่ ดูหนังดูละคร ก็ขอให้ย้อนดูตัวคนเล่นละครด้วย ผมก็ถูกท่านดูอยู่ และทุกคนก็ต้องดูละครตัวอื่น ๆ ด้วย มันถึงจะสำเร็จ ประเทศไทยใหญ่กว่ารามเกียรติ์เยอะ” พล.อ. ประยุทธ์ กล่าวปิดท้าย
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: