หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประเดิมอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถาม-เสนอแนะ ชี้รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ ทำให้ประเทศเกิดปรากฎการณ์ “แพงทั้งแผ่นดิน-จนทั้งแผ่นดิน-พังทั้งแผ่นดิน” ซัดหนักบริหารงานล้มเหลวทุกด้าน แนะยุบสภาเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน
วันนี้ (17 มกราคม 2565) นายแพทย์ (นพ.) ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร อภิปรายเสนอญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ ปี 2560 มาตรา 152 โดย นพ. ชลน่าน เริ่มอ่านญัตติที่ยื่นไป โดยญัตติดังกล่าวจะชี้ให้เห็นถึงสถานการณ์ “แพงทั้งแผ่นดิน จนทั้งแผ่นดิน พังทั้งแผ่นดิน” จนพี่น้องประชาชนอาจต้องตายเกลื่อนทั้งแผ่นดิน และยืนยันว่าต่อรัฐบาลว่าไม่ต้อง “เก็งข้อสอบ” เพราะจะบอกให้ฟังเลย โดยถือว่าเป็นการร่วมกันแก้ปัญหาให้บ้านเมือง และทุกข้อเสนอนั้นจะเป็นประโยชน์อย่างแน่นอน
“ฝ่ายค้านจะชี้ให้เห็นว่าอะไรคือปัญหาที่รัฐบาลเห็นว่าไม่ได้เป็นปัญหา ทำให้เพิกเฉยต่อการแก้ไขปัญหา ฝ่ายค้านจะชี้ให้เห็นว่าแพงจนพังทั้งแผ่นดินคืออะไร” นพ. ชลน่าน กล่าว
แพงทั้งแผ่นดิน : สินค้าแพง-ต้นทุนการผลิตแพง-น้ำมันแพง
นพ. ชลน่าน ระบุว่า พรรคฝ่ายค้านมีเป้าหมายที่จะซักถามข้อเท็จจริงในเรื่องที่เกิดขึ้นและเสนอแนะวิธีการแก้ไขปัญหาต่อคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะในขณะนี้ประชาชนอยากรู้ว่าภายใต้การบริหารของรัฐบาลนี้เหตุใดชีวิตของเขาถึงต้องลำบากยากแค้น ทุกข์ยากแสนสาหัส ความหวังในการดำเนินชีวิตของเขาริบหรี่ ลูกหลานไม่มีอนาคต อีกทั้งเป็นปัญหาที่คณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี ไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นปัญหา และไม่รู้ว่าวิธีแก้ปัญหาจะต้องทำอย่างไร
ความล้มเหลวในการแก้ปัญหาและความผิดพลาดที่เกิดขึ้นจากการบริหารราชการแผ่นดิน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ สร้างปัญหาและภาระให้พี่น้องประชาชน ความผิดพลาดในการบริหารจัดการเงินกู้และงบประมาณ มีเงินจำนวนมหาศาลแต่ไม่นำเงินมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ส่งผลให้เกิดปัญหาหนี้สาธารณะ หนี้ครัวเรือน หนี้นอกระบบ จนประเทศหนี้ท่วม ประชาชนหนี้ล้น
ขณะเดียวกันสินค้าอุปโภคบริโภคอื่น ๆ ก็ปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย ส่งผลกระทบและความเดือดร้อนให้กับประชาชนทั่วประเทศ ซึ่งรัฐบาลยังไม่มีมาตรการที่จะควบคุมและแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพ
“ของแพงทั้งแผ่นดิน ค่าแรงถูกเป็นประเด็นตามญัตติ เป็นความผิดพลาดด้านการบริหารต้นทุนการผลิต ทำให้เกิดเกิดภาวะ ‘เงินฝืด ราคาเฟ้อ’ ประเทศไทยเรามีเงินเฟ้อที่ไม่เหมือนประเทศอื่นนะครับท่านประธาน เพราะมันเฟ้อจากการผลิตที่สูง” นพ. ชลน่าน กล่าว พร้อมระบุว่าการเฟ้อนี้เป็นการเฟ้อที่ด้านราคา-ด้านการผลิต ที่เรียก Cost-Push [Inflation]
นอกจากนี้ นพ.ชลน่าน ระบุว่า ยังมีปัญหาเรื่องราคาน้ำมันที่แพงขึ้นอย่างมาก เป็นเพราะโครงสร้างการบริหารจัดการที่บกพร่อง และสถานการณ์ขณะนี้ รัฐบาลกำลังแก้ปัญหาด้วยการเอาคนจนไปอุ้มคนรวย โยนภาระให้กับผู้ใช้น้ำมันเบนชิน อย่าง ผู้ใช้รถจักรยานยนต์ 21 ล้านคัน, เครื่องยนต์ทางการเษตร ขณะที่รถซูเปอร์คาร์ใช้น้ำมันดีเซล เพื่อแบกราคาน้ำมันดีเซล ด้วยการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซลลง 3 บาท/ลิตร
จนทั้งแผ่นดิน: เนื้อสุกรขายไม่ได้เพราะติดโรค-พืชผลทางการเกษตรราคาตก
นพ. ชลน่าน เปิดเผยว่า เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อกว่าสองล้านคนและเสียชีวิตกว่า 2 หมื่นคน ขณะที่มาตรการป้องกันและแก้ปัญหาก็ไม่มีความชัดเจนแน่นอนกลับไปกลับมายิ่งทำให้เศรษฐกิจของประเทศดิ่งเหว การท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ขณะที่รัฐบาลไม่มีมาตรการเยียวยาที่เหมาะสม ประชาชนทุกสาขาอาชีพได้รับความเดือดร้อนอย่างถ้วนหน้าการจัดหาวัคซีนเพื่อนำมาฉีดให้ประชาชนก็ล่าช้าไร้ประสิทธิภาพ
ต่อมาก็เกิดการแพร่ระบาดของโรคระบาดในสัตว์ รวมทั้งเชื้ออหิวาต์แอฟริกาในสุกรด้วย ทำให้สุกรขาดตลาดและเนื้อสุกรมีราคาสูงขึ้นมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน แต่รัฐบาลกลับปกปิดข้อมูลการระบาดของโรคจนทำให้การแพร่ระบาดกระจายไปทั่วประเทศ เกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรได้รับความเสียหายในวงกว้าง การแก้ปัญหาโรคระบาดทั้งในคนและสัตว์เน้นแก้ปัญหารายวัน ส่วนเกษตรกรก็จมทุกข์ ทั้งราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำอย่างหนักและต่อเนื่อง
ส่วนความสามารถในการแข่งขันของประเทศย่ำแย่มาโดยตลอด อันเนื่องมาจากกฎหมายไม่เอื้ออำนวยต่อการแข่งขัน มีการผูกขาดไม่เปิดโอกาสให้พี่น้องประชาชน บริบทของประเทศไม่เอื้อต่อการลงทุน ผู้ประกอบการรายเล็กรายน้อยต้องล้มหายตายจาก
นอกจากนี้รายได้ของประเทศซึ่งเป็นความหวังเดียวของประชาชน คือ ภาคการท่องเที่ยว กลับล้มเหลวหดตัว แล้วเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านและประเทศอื่นๆ กลับฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว แตกต่างกับประเทศไทย
“ครั้งนี้ไม่ถึงกับเก็บศพหรอกครับ แต่หามขึ้นรถส่งไอซียู ถ้ารัฐบาลไม่แก้ปัญหา รอให้ถึงเดือนพฤษภา[คม] ต้องเก็บศพแน่” นพ. ชลน่าน กล่าว
พังทั้งแผ่นดิน : กระจายวัคซีนล่าช้า-ยาเสพติดเฟื่องฟู-วิกฤตการเมืองก่อปัญหาครบวงจร
นพ. ชลน่าน ระบุต่อไปว่า จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โรคระบาดโควิด-19 ที่ผ่านมารัฐบาลอาศัยเกาะโรคระบาดเพื่อการดำรงอยู่ พยายามเลี้ยงไข้และอยู่รอดมาจนถึงวันนี้ แต่ผลจากการบริหารจัดการสถานการณ์ที่ผิดพลาด การจัดหาและกระจายวัคซีนที่ล่าช้า ส่งผลกระทบกับพี่น้องประชาชนจนถึงวันนี้
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เห็นได้ชัดเจนว่า รัฐบาลนี้ได้ทำให้การศึกษาล้มเหลว แต่ปัญหายาเสพติดกลับเฟื่องฟู จนพี่น้องประชาชนเดือดร้อนอย่างแสนสาหัส เกิดเหตุ ลูกฆ่าพ่อ พ่อฆ่าแม่ หลานฆ่ายาย สังคมปั่นป่วนวุ่นวายไปทั้งหมด รวมถึงปล่อยให้มีกลไกการโกงผ่านดิจิทัลเทคโนโลยี เช่น เรื่องสแกม ปัญหาแก๊งคอลเซนเตอร์ สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนอย่างมาก
รวมถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมนับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะปัญหา PM 2.5 ที่ส่งผลต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนและเกิดขึ้นซ้ำซากทุกปี โดยที่รัฐบาลไม่มีมาตรการในการแก้ปัญหาที่เหมาะสม การแก้ปัญหาประมงล้มเหลวส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการนับแสนราย
วิกฤตการเมืองก่อปัญหาครบวงจร ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ซึ่งมีต้นเหตุมาจากรัฐบาลไม่สนับสนุนการปฏิรูปการเมือง แต่มีพฤติการณ์ทำลายล้างระบอบประชาธิปไตย ทำลายระบบรัฐสภา ก่อเกิดธุรกิจการเมือง ทำให้สภาเสื่อมถอย เป็นเหตุให้การปฏิรูปการเมืองล้มเหลว รวมถึงยังมีปัญหาเชิงโครงสร้าง มีผลพวงจากรัฐธรรมนูญ ทำให้รัฐบาลได้เสียงข้างมากอย่างง่อนแง่น องค์ประชุมที่เป็นหน้าที่ของเสียงข้างมาก คือ ฝ่ายรัฐบาล กลับไม่เคยถึงกึ่งหนึ่ง
“นายกรัฐมนตรีจะต้องตอบให้ชัดเจนว่าจะยอมให้แก้ไขรัฐธรรมนูญซึ่งจะเป็นการแก้ไขปัญหาที่โครงสร้างหรือไม่ รวมไปถึงการแก้ไขกฎหมายต่าง ๆ เพราะที่ผ่านมารัฐบาลตีตกกฎหมายที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชน ซ้ำยังอุ้มหายกฎหมายไปดองไว้ 60 วันอีกหลายฉบับ” นพ. ชลน่าน กล่าว
นายชลน่าน ระบุปิดท้าย วันนี้ถึงเวลาที่จะต้องเร่งแก้ไข จะต้องหยุดเลือดที่กำลังไหลออก หยุดทรมานพี่น้องประชาชนอย่างเร่งด่วน ก่อนที่พี่น้องประชาชนจะทุกข์ยากเดือดร้อนมากกว่านี้ และสิ่งที่จะหยุดได้ คือตัวนายกรัฐมนตรีเอง ด้วยการประกาศขอลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือถ้าดีที่สุด คือ ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: