นครศรีธรรมราช: ผู้เสียหายคดีเก็งกำไรทองนครศรีธรรมราช ทยอยเข้าแจ้งความเอาผิด “สาวกิ๊ป” รวบรวมหลักฐานส่งพนักงานสอบสวน เตรียมยื่นหนังสือศูนย์ดำรงค์ธรรมเร่งรัดคดีพรุ่งนี้ พร้อมเข้าพบ ผบ.มทบ.41 ติดตามคดี หวั่นนายทุนอุ้มตัวหาย หวังตัดตอน
จากกรณีที่กลุ่มผู้ค้าทองคำแท่งและทองรูปพรรณไว้เพื่อเก็งกำไรขายในจังหวัดนครศรีธรรมราชและจังหวัดใกล้เคียง ทั้งรายใหญ่และรายย่อยกว่า 50 ราย ซึ่งตกเป็นผู้เสียหาย ได้ทยอยเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองนครศรีธรรมราช ให้ดำเนินคดีติดตามจับกุม น.ส.นิชนิภา หรือกิ๊ป ชอบพจน์ อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 133/1 หมู่ 2 ต.กำแพงเซา อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ต้นขั้วของการทำธุรกิจค้าทองคำ ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการติดต่อจัดหาทองคำและกลุ่มลูกค้าผู้เสียหาย ก่อนธุรกิจจะล่มลง และทิ้งภาระหนี้สินไว้ให้กับกลุ่มผู้เสียหายรวมมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท ก่อนหลบหน้าหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย
สำหรับความคืบหน้าของคดี หลังที่ผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความ ซึ่งผ่านไปแล้ว 3 วัน จนท.ตร.ยังไม่สามารถติดตามตัว น.ส.นิชนิภา หรือกิ๊ป ชอบพจน์ มาดำเนินคดีได้ ทั้งๆ ที่วันเกิดเหตุ. จนท.ตร.ได้พบตัวกับ น.ส.นิชนิภา หรือกิ๊ป ชอบพจน์ ที่บ้านพักโดยการเข้าระงับเหตุหลัง น.ส.กิ๊ปพยายามจะคิดฆ่าตัวตายเพื่อหนีความผิด แต่ไม่ได้นำตัวมาดำเนินคดีแต่อย่างใด โดยทางกลุ่มผู้เสียหายมีความกังวลและหวั่นใจว่าคดีจะไม่มีความคืบหน้า เรื่องก็จะเงียบหายไปในที่สุด จนผู้ก่อเหตุได้หลบหนีออกไปจากพื้นแล้ว ท้ายที่สุดก็จะไม่สามารถติดตามตัว น.ส.กิ๊ป มาลงโทษตามกฎหมายได้
ล่าสุดในวันนี้ 22 ส.ค.61 เวลา 10.00น.ผู้เสียหายทั้งหมดจะรวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อเข้ายื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมกับผู้ว่าราชการจังหวัด ผ่านศูนย์ดำรงธรรม เพื่อให้ติดตามเร่งรัดคดีให้เห็นผลอย่างเร็วที่สุด เนื่องจากไม่มีความมั่นในในกระบวนการยุติธรรม และการปฏิบัติหน้าที่อย่างล่าช้าของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สาเหตุจากที่ทราบข้อมูลมาว่า น.ส.นิชนิภา หรือกิ๊ป ชอบพจน์ ได้มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลคอยสนับสนุนเป็นนายทุนและบงการอยู่เบื้องหลัง ซึ่งเหตุผลที่ น.ส.กิ๊ป ได้หายตัวไป มี 2 สาเหตุ คือ 1 เกรงว่าจะถูกอุ้มฆ่าเพื่อตัดตอนคดีจึงหลบหนีไปเพื่อกบดาน และประการที่ 2 หรืออาจจะถูกอุ้มตัวหายสาบสูญไปแล้ว และจะเข้ายื่นหนังสือร้องขอความช่วยเหลือกับทาง พลตรีอาคม พงศ์พรหม ผบ.มทบ.41 เพื่อให้ช่วยเหลือในการติดตามหาข่าวการหายตัวไปของ น.ส.กิ๊ป ซึ่งคดีนี้อาจมีผู้มีสีหรือผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลัง
น.ส.ณหฤทัย ระวังภัย อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 29 หมู่ 3 ต.หงาย อ.เมือง จ.ระนอง กล่าวว่า ตนเป็นหนึ่งในผู้เสียหาย และเป็นผู้เข้าแจ้งความดำเนินคดีเป็นรายแรก ยืนยันว่าหลังเกิดเหตุ ตนมีความวิตกกังวลใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากเกรงว่าเงิน กว่า 7 แสนบาทที่ตนเองลงทุนไปจะไม่ได้กลับคืนมา และผู้ก่อเหตุก็จะลอยนวลไปในที่สุด “ยิ่งได้ทราบกระแสข่าวที่มีการร่ำลือกันว่า น.ส.กิ๊ป อาจจะถูกอุ้มฆ่าไปแล้ว ยิ่งทำให้ตนเองวิตกกังวลขั้นจิตตก ถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ” ประกอบกับญาติพี่น้องทางบ้านโดยเฉพาะมารดาที่จังหวัดระนอง ก็ยังไม่ทราบข้อมูลข้อเท็จจริงมากนัก ทราบเพียงแต่ในข่าวสารที่ถูกนำเสนอผ่านสื่อออกไป จึงอยากจะร้องขออ้อนวอนให้หน่วยงานทุกๆหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยเร่งรัดดำเนินคดี และติดตามตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษทางกฎหมายให้ได้โดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะอยากจะให้สื่อมวลชนช่วยเหลือนำเสนอข่าวให้อย่างต่อเนื่องจนได้รับการแก้ไข โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยากให้ จนท.เร่งทำการตรวจสอบบัญชี เส้นทางการเงินของ น.ส.กิ๊ป ที่มีมากกว่า 7 บัญชี ในการโอนถ่ายเงินไปให้กับบุคคล บุคคลหนึ่งซึ่งอยู่ทางภาคใต้ คาดว่าน่าจะเป็นนายทุนใหญ่ เพื่อที่จะสามารถทำการระงับอายัดบัญชี และติดตามตัวผู้อยู่เบื้องหลังมาดำเนินคดีได้ ก่อนที่จะไม่หลงเหลือเงินในบัญชีทั้งหมด
พ.ต.อ.อดิศักดิ์ เทพวรรณ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังมีผู้เสียหายทยอยเดินทางเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนเรื่อยๆ ทาง จนท.ตร.ไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด ยังคงรับแจ้งความอยู่อย่างต่อเนื่อง และคดีนี้ยังมีผู้เสียอีกจำนวนมากที่ยังไม่ตัดสินใจเข้าแจ้งความเพราะเกรงว่าในทีมเดียวกันอาจจะต้องตกเป็นผู้ต้องหาไปด้วย จึงยากต่อการรวบรวมข้อมูลผู้เสียหาย ซึ่งเบื้องต้นทางตร.ได้เร่งสอบสวนและรวบรวมหลักฐานต่างๆ เท่าที่มีของผู้เสียหายที่เข้าแจ้งความไว้แล้ว โดยเฉพาะหลักฐานการในการโอนเงินจากผู้เสียหายแต่ละคนมารวบรวมเพื่อสรุปยอดเงินที่เสียหายจริงๆ เพื่อจะได้ขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหารายนี้เป็นการเบื้องต้นก่อน ซึ่งเชื่อว่าผู้กระทำผิดน่าจะมีมากกว่า 2 คน และทำกันเป็นกระบวนการ โดยอาจมีตัวการใหญ่อยู่เบื้องหลังความผิดในครั้งนี้อย่างแน่นอน และคาดว่าจะสามารถรวบรวมหลักฐานเพื่อเสนอศาลขอออกหมายจับผู้กระทำผิดได้ภายในวันสองวันนี้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม จนท.จะทำการสอบสวนขยายผลว่ามีร้านทองในแต่ละพื้นที่ ที่ผู้เสียหายได้กล่าวอ้างว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการดังกล่าวว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกันหรือไม่อย่างไร ซึ่งหากมีความผิดจริงก็จะต้องถูกดำเนินคดีไปด้วยอย่างแน่นอน เพราะถือว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในคดีร่วมกันฉ้อโกง
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: