นครศรีธรรมราช: โรงพยาบาลท่าศาลา นครศรีธรรมราช ดำเนินการ Big cleaning ครั้งใหญ่ หลังรับผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 สร้างความเชื่อมันพี่น้องประชาชน ขณะผู้ตรวจฯ เข้าติดตามใกล้ชิด วางมาตรการป้องกันเข้มพร้อมกักตัวแม่และญาติของผู้ป่วยติดเชื้อดูอาการต่อเนื่อง ด้านผอ.รพ.ท่าศาลาเผยตนก็ติดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง 
กรณีพบผู้ป่วยติดเชื้อเป็นนักศึกษาชายอายุ 20 ปี กลับจากประเทศอิหร่าน เดินทางกลับภูมิลำเนาที่ จ.นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 29 ก.พ.63 ก่อนเข้าปรึกษาแพทย์ที่ รพ.ท่าศาลา ก่อนได้ทำการตรวจเลือดและพบเชื้อโรคโควิด-19
วันที่ 6 มีนาคม 2563 ที่โรงพยาบาลท่าศาลา อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช นพ.กิตติ รัตนสมบัติ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลท่าศาลา นายศิริ เลิศไกร สาธารณสุขอำเภอท่าศาลา พร้อมด้วยคณะเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลท่าศาลา ร่วมต้อนรับ นพ.พิทักษ์พล บุณยมาลิก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 11 และคณะ ในการลงพื้นที่สำรวจติดตามสถานการณ์โรคติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่และผู้มารับบริการ
มีรายงานว่า คณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ออกสืบสวนการระบาดวิทยา หรือการสืบสวนโรค ติดตามเส้นทางการเดินทางของนักศึกษาชายรายนี้ พบว่ารถบัสโดยสารประจำทางที่ผู้ป่วยติดเชื้อโดยสารจาก กทม.มายัง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งขณะนี้จอดอยู่ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดนครศรีธรรมราช มีการงดใช้งานแล้ว โดยบริษัทต้นสังกัดได้ให้เจ้าหน้าที่เข้าทำการฆ่าเชื้อภายในห้องโดยสารทั้งหมด และแจ้งให้ผู้ที่โดยสารที่มากับรถคันดังกล่าว หลังวันที่ 29 ก.พ.63 อย่างน้อย 3 เที่ยว ไปปรึกษาแพทย์เพื่อความไม่ประมาท
และนอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ป่วยรายนี้ได้เดินทางไปทานเนื้อกระทะที่ร้านแห่งหนึ่งใน อ.ท่าศาลา พร้อมทั้งไปทำกิจกรรมทางศาสนาต่อที่มัสยิดในช่วงวันศุกร์ที่ 29 ก.พ.63 และยังไปเดินในพื้นที่แหล่งชุมชนพร้อมไปซื้ออาหารในตลาดชุมชนซึ่งเป็นตลาดที่คับคั่งไปด้วยผู้คนอีกด้วย และนอกจากนี้ทาง จนท.ทีมแพทย์ยังได้ทำการกักตัวมารดาและญาติที่อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน 3คนไว้ เพื่อเฝ้าระวังการติดเชื้ออย่างใกล้ชิด
วันเดียวกันนี้ นายแพทย์กิตติ รัตนสมบัติ ผอ.รพ.ท่าศาลา ได้นำคณะเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลร่วมทำกิจกรรม Big Cleaning Day บริเวณอาคารผู้ป่วยนอกและอุบัติเหตุ อาคารผู้ป่วยใน คลินิกโรคเรื้อรัง และบริเวณโดยรอบโรงพยาบาล เพื่อป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 พร้อมแจ้งชาวบ้านว่าอย่าตระหนก ให้ตระหนัก และไม่ประมาท พร้อมกำชับให้แพทย์ พยาบาล พนักงานเจ้าหน้าที่ทุกคนต้องสวมหน้ากากอานามัยตลอดเวลา และให้ยึดถือปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขและรัฐบาลอย่างเคร่งครัดทุกขั้นตอน
นายแพทย์กิตติ กล่าวว่า ถ้าทุกคนปฏิบัติตามนี้ก็จะป้องกันโรคได้ ซึ่งในความเป็นจริงเราจะไม่ทราบเลยว่าที่ไหนจะมีเชื้อโรค แม้แต่ตัวของหมอเองก็จัดอยู่ในบุคลากรกลุ่มเสี่ยงเช่นกัน เพราะเป็นคนตรวจร่างกายนักศึกษาที่ติดเชื้อเป็นคนแรก และอยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยรายดังกล่าวเป็นเวลานาน
