นครศรีธรรมราช:งานนี้มีหนาว กว่า 7 เดือนคดีวิสามัญหมอดูไพ่ยิปซีชื่อดังเมืองคอนไม่คืบ ตำรวจยังคลุมเครือ ทำคดีแบบลับๆ ภรรยาไม่สนใจขอเดินหน้าต่อร้องขอความเป็นธรรมให้สามี รองอธิบดีอัยการรับลูก ช่วยตามคดี
เหตุการณ์คดีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการวิสามัญฆาตกรรมนายประภวิษณุ์ บุญเนืองวัย 44 ปี หมอดูไพ่ยิปซีชื่อดังของจังหวัดนครศรีธรรมราช หรือที่รู้จักกันในนาม “หมอนัย” ยังคงเป็นเหตุการณ์ที่สังคมต่างพากันเคลือบแคลงใจสงสัยต่อการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจมาโดยตลอด ว่าเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุหรือไม่ และเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับผลของการกระทำ โดยการยัดเยียดข้อหาความผิดให้กับคนตายที่ไม่สามารถลุกขึ้นมาพูดหรือต่อสู้ในคดีนี้ได้
คดีนี้เป็นคดีที่โด่งดังไปทั่วทั้งประเทศ เป็นที่จับตามองของสังคมและต่างพากันรอคอยคำตอบในการคลี่คลายคดีให้กระจ่างชัด และคาดหวังกันว่าจะเห็นการทำหน้าที่อย่างโปร่งใสตรงไปตรงมาของผู้รักษากฎหมาย เพื่อมอบความเป็นธรรมให้กับครอบครัวภรรยาและลูกๆของผู้เสียชีวิต รวมถึงสังคมอีกด้วย ไม่พ้นกับความเคารพศรัทธาน่าเชื่อถือที่ประชาชนควรมีให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจตลอดไป แต่ผลที่ออกมากลับไม่เป็นอย่างที่สังคมคาดหวังไว้ หลังเกิดเหตุการณ์เมื่อวันที่ 1 พ.ค.61 ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบันรวมระยะเวลากว่า 7 เดือน กลับไม่มีความคืบหน้าใดๆของคดีเลยแม้แต่น้อย เจ้าหน้าที่ตำรวจยังคงเก็บเรื่องราวไว้แบบเงียบๆ แม้กระทั่งภรรยาของผู้ตายก็ไม่เคยได้รับทราบผลหรือข้อมูลใดๆที่เป็นประโยชน์ต่อคดี
ล่าสุด เมื่อเวลา 19.10น.พุธที่ 5 ธ.ค.61 รายการ”ถามตรงๆกับจอมขวัญ หลาวเพ็ชร” ที่ออกอากาศทางช่องไทยรัฐทีวี ได้เกาะติดความคืบหน้าของคดีนี้อีกครั้ง หลังเหตุการณ์ผ่านไปกว่า 7 เดือน คดียังไม่คืบ ซึ่งพิธีกรสาวจอมขวัญ ได้ย้อนเกริ่นถึงที่มาที่ไปของคดีวิสามัญที่เกิดขึ้นในจังหวัดนครศรีธรรมราชเมื่อวันที่ 1 พ.ค.61 จนนำมาสู่การลุกขึ้นต่อสู้เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้กับผู้เสียชีวิต ขอความยุติธรรมให้กับครอบครัว ภรรยาและลูกๆ หลังเกิดเหตุเพียงไม่กี่วัน ทางภรรยาและน้องชายผู้เสียชีวิตได้มาออกรายการครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 พ.ค.61 และครั้งถัดมา น้องชายผู้เสียชีวิตได้เดินทางมาทวงถามความคืบหน้าเพียงลำพังอีกครั้งในรายการเมื่อวันที่ 7 มิ.ย.61 มาครั้งนี้ น.ส.ฐานิศ หริกจันทร์ ได้พูดคุยให้สัมภาษณ์สดกับทางรายการผ่านสัญญาณโทรศัพท์ ถึงความคืบหน้าของคดี ดูเหมือนว่าสิ่งที่ยังคงค้างคาใจอยู่มาโดยตลอด ยังไม่ได้รับการคลี่คลายกระจ่างชัดแม้แต่น้อย สาเหตุและเหตุจูงใจที่เจ้าหน้าที่ตำรวจถึงกับต้องลงมือวิสามัญสามีของตน ทั้งๆที่ความประสงค์ขอเพียงแค่ให้ควบคุมตัวไว้เท่านั้น ถุงยาเสพติดที่พบภายในรถ เป็นของใครมาจากไหน มาได้อย่างไร และใครเป็นผู้นำมา ทั้งๆที่ผลการตรวจรอยนิ้วมือแฝง ไม่พบว่าเป็นของสามีตนแต่อย่างใด รวมถึงประวัติการค้ายาเสพติดที่ทาง ตร.กล่าวอ้าง ซึ่งไม่เป็นความจริง เรื่องกล้องติดหน้ารถที่หายไปก่อนหน้านี้ และโผล่ออกมาอีกทีพร้อมกับข้อมูลที่หายไปในวันเกิดเหตุ เหลือเพียงภาพครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 29 เม.ย.61 ก่อนเกิดเหตุเพียง 1 วัน ที่สามีตนได้ไปซื้อผลสละเพื่อจะนำไปขาย และพฤติกรรมที่ค่อนข้างค้านกับความเป็นจริง กับคนที่คิดกระทำความผิดโดยการหลบหนีการจับกุมและยิงต่อสู้เจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่อาวุธปืนที่พบภายในรถถูกเหน็บไว้บริเวณประตูคนขับเหมือนไม่ได้มีการหยิบมาใช้งาน ประตูกระจกปิดล็อกสนิท ร่องรอยระยะวิถีกระสุนที่ถูกกระหน่ำยิงมีแต่ร่องรอยยิงเข้า ไม่มีร่องรอยออกจากตัวรถ ประกอบกับคำยืนยันของพยานที่เห็นเหตุการณ์ได้มายืนยันกับตนว่า ก่อนที่สามีจะถูกวิสามัญ ได้เปิดประตูรถออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นเหนือศีรษะยินยอมพร้อมร้องขอชีวิตแล้ว แต่ไม่เป็นผล จึงกลับเข้าไปอยู่ภายในรถอีกครั้งเพราะความกลัว จนถูกวิสามัญเสียชีวิตในที่สุด
ตลอดกว่า 7 เดือนที่ผ่านมา ตนเองต้องพาครอบครัว แม่และลูกๆย้ายออกมาเช่าบ้านอยู่ในเมืองนครศรีธรรมราช ซึ่งคิดว่าน่าจะปลอดภัยกับชีวิตมากที่สุด เพราะเกรงกลัวฝ่ายตรงข้ามที่เคยข่มขู่เอาไว้จะมาทำร้ายเราอีก ส่วนคดีความไม่มีความคืบหน้าเลยแม้แต่น้อย ไม่เคยได้รับการประสานงานจากทาง จนท.ตร.เลย เคยเข้าไปติดต่อเพื่อจะขอนำรถกลับมาซ่อม เพราะแต่ละเดือนต้องแบกรับภาระค่าผ่อนรถถึง 2 คัน ไหนจะค่าใช้จ่ายลูกๆและอื่นๆอีกมากมาย เคยร้องรอการเยียวยาค่าซ่อมรถจากทาง ตร.เนื่องจากประกันไม่สามารถซ่อมเคลมให้ได้ แต่กลับได้รับการปฏิเสธ จึงต้องนำกลับมาซ่อมเอง เป็นค่าใช้จ่ายกว่า 6 หมื่นบาท
“สิ่งที่ต้องการคือ อยากให้คดีเดินไปด้วยความถูกต้องยุติธรรม และเรื่องรถที่ต้องมารับผิดชอบในการซ่อม อยากให้ทาง ตร.ช่วยดูแลรับผิดชอบเราบ้างโรงพักเพื่อประชาชน แต่ทำให้ครอบครัวของเราพัง คือลูกไม่มีพ่อ ไม่มีผู้นำครอบครัว ต้องเป็นแม่ที่คอยยืนหยัดสู้เพื่อลูกเพียงคนเดียว จึงอยากได้รับความยุติธรรม สงสารลูก”
ทางรายการได้ติดต่อขอสัมภาษณ์ความคืบหน้าของคดี กับ พ.ต.อ.อรุณ แกล้ววาที รอง ผบก.ภ.จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งดูแลรับผิดชอบคดีนี้มาตั้งแต่หลังเกิดเหตุ แต่ทางรองผู้การฯไม่ขอให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ แต่ได้ให้ข้อมูลความคืบหน้าเกี่ยวกับคดีไว้ทีมงานมากมาย
สำหรับคดีนี้ เจ้าหน้าที่ได้ทำการสอบสวนเสร็จสิ้น พร้อมกับส่งสำนวนไปให้ศาลชี้ ซึ่งสำนวนที่ส่งไปมี 3 สำนวนด้วยกัน 1. สำนวนเรื่องการชันสูตรศพ การตายผิดธรรมชาติ 2. เรื่องที่ผู้ตายต่อสู้เจ้าพนักงาน รวมถึงมีประวัติค้ายา เนื่องจากมีคนไปร้องที่ ป.ป.ส. และหนีการจับกุม 3. เรื่องที่เจ้าพนักงานวิสามัญผู้ตาย รวมถึงเรื่องกล้องหน้ารถ โดยทางรองผู้การฯได้ให้คำตอบว่า “ผู้ตายเป็นคนถอดออก เพราะเวลาจะไปที่ไหน จะได้ไม่ต้องถ่ายเก็บไว้” และเรื่องเงินเยียวยาไม่ใช่หน้าที่ของ ตร. ซึ่งจะทำในเฉพาะกรอบของกฎหมายเท่านั้น พ.ต.อ.อรุณ กล่าว
ในช่วงเบรกสุดท้ายของรายการ ผู้ดำเนินรายการได้ติดต่อขอสัมภาษณ์ไปยัง อ.ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีอัยการ สำนักงานชี้ขาดคดี สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อทราบถึงความชัดเจนของกรอบกฎหมายเกี่ยวกับคดีดังกล่าว โดย อ.ปรเมศวร์ ได้รวบรัดข้อมูลให้ทุกคนสามารถเข้าใจได้ง่ายขึ้น ประเด็นที่ 1 ว่าด้วยความเสียหายต่อทรัพย์สินที่เกิดจากการกระทำของตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ กรณีนี้จะต้องซ่อมรถของผู้เสียหายให้กลับมาอยู่ในสภาพดังเดิม รวมถึงค่าเสียเวลา ค่าเสียประโยชน์ในด้านอื่นๆ ถึงแม้ว่าคดีจะตัดสินออกมาผิดหรือถูกก็ตาม
ประเด็นที่ 2 ซึ่งเป็นที่น่าสงสัยอย่างมาก คือการชันสูตรพลิกศพ ต้องเป็นไปตามกระบวนการขั้นตอนที่ถูกต้อง หากเกิดกรณีเช่นนี้ ตายจากการกระทำของเจ้าพนักงาน ซึ่งเป็นความผิด วิอาญา 150 วรรค 3 ต้องให้พนักงานอัยการ และปลัดอำเภอ เข้าร่วมชันสูตรพลิกศพ และพนง.สอบสวน จะต้องแจ้งให้ทางญาติทราบด้วย ในที่เกิดเหตุ ทำหรือไม่ทำต้องมาตรวจสอบอีกครั้ง และหลังจากชันสูตรพลิกศพ ต้องให้พนักงานอัยการเข้าร่วมในการทำสำนวนสอบสวนการชันสูตรพลิกศพด้วย โดยพนักงานสอบสวนจะต้องทำสำนวนให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน พร้อมส่งให้กับพนักงานอัยการ โดยพนักงานอัยการจะสั่งสำนวนเพื่อยื่นคำร้องต่อศาล นี่คือเรื่องชันสูตรไม่เกี่ยวกับคดี และจะต้องยื่นต่อศาลภายใน 30 วัน หากยังทำไม่แล้วเสร็จ สามารถขยายระยะเวลาออกไปอีกได้ 30 วัน เพื่อยื่นต่อศาลให้ศาลไต่สวนการตาย ว่าผู้ตายคือใคร ใครทำให้ตาย และตายอย่างไร เมื่อศาลจะไต่สวน ศาลจะติดประกาศหน้าศาลว่าจะนัดไต่สวนเมื่อไหร่ โดยพนักงานอัยการจะต้องมีหมายแจ้งให้กับทางญาติผู้เสียชีวิตทราบ เพื่อไปในวันนัดไต่สวน โดยทนายก็จะมีสิทธิที่จะเข้าไปซักค้านได้ในวันนั้น เมื่อศาลไต่สวนแล้วเสร็จ จะส่งกลับมาให้กับพนักงานอัยการอีกครั้ง เพื่อส่งกลับไปให้กับ พนง.สอบสวน และในขณะเดียวกัน ทาง พนง.สอบสวนก็จะต้องตั้งข้อหากับ ตร.ที่ทำการวิสามัญ เป็นผู้ต้องหา ในข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา ก่อนที่จะส่งสำนวนทั้ง 2 ให้กับอัยการสูงสุดเป็นผู้พิจารณาสั่ง ไม่ใช่อัยการจังหวัดนครศรีธรรมราชเป็นผู้สั่ง ซึ่งในความเป็นจริง สำนวนที่จะต้องไปอยู่ที่ศาล จะต้องเป็นสำนวนชันสูตรพลิกศพเพียงสำนวนเดียว ไม่ใช่ 3 สำนวนที่มีการให้ข้อมูลมาจากทาง ตร. และประการสำคัญ ญาติของผู้เสียชีวิตจะต้องรับรู้ในทุกๆขั้นตอนเมื่อเรื่องถึงศาล
“คดีนี้ค่อนข้างน่าสงสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รูปแบบการทำงานของ จนท.ตร.ล่วงเลยระยะเวลาไปเนิ่นนานมาก ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 6 ธ.ค.61) จะขอตรวจสอบไปที่อัยการจังหวัดนครศรีธรรมราชอีกที จะถามว่าคดีนี้เป็นอย่างไร และไปถึงไหนแล้ว” อ.ปรเมศวร์ กล่าวในที่สุด
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: