กรุงเทพฯ – พรรคพลังประชารัฐ ยกทัพปราศรัยกลางกรุง พร้อมเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพฯ ทั้ง 33 เขต พล.อ.ประวิตร ประกาศ นำความรัก ความสามัคคี มาสู่ประเทศชาติ ลุยแก้ปัญหาทุกเรื่องให้กรุงเทพฯ ดีขึ้น
วันที่ 18 มีนาคม 2566 พรรคพลังประชารัฐ เปิดเวทีปราศรัยในกรุงเทพฯ ณ ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ‘พลังใหม่ พลังกรุงเทพ พลังประชารัฐ’ โดยจัดเก้าอี้ไว้ 2,190 ตัว แบ่งที่นั่งเป็นโซน ๆ ตามเขตเลือกตั้ง กทม.33 เขต ไว้ให้ผู้สนับสนุนและกองเชียร์ของผู้สมัครแต่ละเขต ที่มีการจัดเตรียมป้ายมากันพร้อม
การปราศรัยวันนี้ นำโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พร้อมด้วย นายสันติ พร้อมพัฒน์ เลขาธิการพรรค, นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค, นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง, นายอุตตม สาวนายน ประธานจัดทำนโยบาย, นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบาย, ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิก และนายสกลธี ภัททิยกุล หัวหน้าทีมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม. พร้อมเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กทม.ทั้ง 33 เขต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่ม-สาวรุ่นใหม่
พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ปราศรัยบนเวทีตอนหนึ่งว่า พรรคพร้อมแล้วที่จะทำงานรับใช้กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นศูนย์รวม เป็นหน้าตา และศักดิ์ศรีของประเทศ ต้องช่วยกันดูแล รักษา ให้สะอาด สวยงาม ปลอดภัย น่าอยู่ น่าอาศัย น่าที่จะมาท่องเที่ยว พรรคจะมุ่งมั่นทำงาน ร่วมมือกับทุกฝ่ายเพื่อพัฒนาและแก้ไขปัญหาทุกเรื่อง ที่เป็นประโยชน์แก่คนกรุงเทพฯ ปัญหาต่าง ๆ ทั้งเรื่องการจราจรติดขัด ความปลอดภัย สิ่งแวดล้อม มลพิษ PM 2.5 การขาดพื้นที่สีเขียว น้ำท่วม น้ำเน่าเสีย ระบบขนส่งมวลชน ปัญหายาเสพติด และปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย พรรคพลังประชารัฐจะแก้ไขปัญหาเหล่านี้โดยเร็ว พร้อมนำนโยบายที่เป็นประโยชน์มอบให้ประชาชน ทั้งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ การลดราคาน้ำมัน แก๊ส ไฟฟ้า สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ดูแลคนไทยทุกช่วงวัย เบี้ยผู้สูงอายุ แม่และเด็ก ดูแลผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส อย่างเท่าเทียม เพื่อลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมในสังคม ขอพี่น้องประชาชนให้โอกาสพรรคพลังประชารัฐ ที่อาสาจะนำความรัก ความสามัคคี มาสู่ประเทศชาติ หมดเวลาที่คนไทยจะมาทะเลาะกันเองแล้ว ต้องจับมือกันนำพาประเทศ ก้าวไปข้างหน้าเพื่อความสุขของคนไทยทุกคน
‘อุตตม’ ชูนโยบาย เพิ่มประกันชีวิตบัตรประชารัฐ และตั้งกองทุนปลดหนี้ เพิ่มรายได้
นายอุตตม สาวนายน ประธานจัดทำนโยบาย พปชร. ปราศรัยนโยบายเพื่อชาว กทม. กรุงเทพ+5 คือ กทม.บวกกับ จังหวัดรอบข้าง คือ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และฉะเชิงเทรา กรุงเทพฯต้องเป็นศูนย์กลางพัฒนา 360 องศา รวมถึงการกระจายความแออัดจาก กทม.ไปยังจังหวัดปริมณฑลที่มีของดี จะสร้างเศรษฐกิจย่าน กทม.10 ย่านนำร่อง อาทิ เขตลาดพร้าว เขตประเวศ เพื่อยกระดับและพัฒนาศักยภาพของพื้นที่ โดยการดึงจุดเด่นของแต่ละพื้นที่ออกมา เชื่อมโยงการคมมนาคมที่สะดวกและรวดเร็ว เพื่อเป้าหมายในการเติมเต็มความสุขให้คนเมืองให้ได้ การพัฒนาย่านเศรษฐกิจ จัดทุนตั้งต้นให้ธุรกิจสตาร์ทอัพ พัฒนาการค้าขายในรูปแบบแฟรนไชส์
ข่าวน่าสนใจ:
- คู่แข่งนอกสายตานายก ก้อย “พนธ์ มรุชพงษ์สาธร” ขอวัดดีกรีว่าที่นายก อบจ.แปดริ้ว
- พรรคประชาชนเปิดตัว นายแพทย์จิรชาติ เรื่องวัชรินทร์ หรือ หมอมุดสัง ชิง นายก อบจ.สุราษฎร์ ฯ สมัครจันทร์นี้
- นครพนม : หมอสงค์ หมอผู้สร้าง เปิดตัวสมัครนายก อบจ.นครพนม พร้อม ส.อบจ.นครพนม
- บ้านใหญ่พรรคเพื่อไทยเชียงราย เปิดตัวผู้สมัครนายก อบจ.พร้อมกับนำทีมผู้สมัคร สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงราย ทั้ง 36 เขต ในนามพรรคเพื่อไทย
พรรคพลังประชารัฐ จะตั้งกองทุนประชารัฐ เพื่อปลดภาระ เพิ่มรายได้ และสร้างโอกาส แก้หนี้ให้เบ็ดเสร็จ เติมทุนใหม่ แล้วเสริมทักษะ ในกรอบวงเงิน 300,000 ล้านบาท เพื่อนำมาแก้หนี้ให้เบ็ดเสร็จ โดยกองทุนจะให้กู้ยืมเพื่อประกอบอาชีพ เช่น กู้เงิน 50,000 บาท ผ่อน 7 ปี จะตกวันละ 24 บาท ดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 5
นายอุตตม กล่าวต่อว่า พรรคพลังประชารัฐ ยังมีนโยบายดูแลค่าใช้จ่าย เช่น จะช่วยค่าใช้จ่ายตั้งแต่แม่ตั้งครรภ์ ถึงเด็กอายุ 6ขวบ จะยกเว้นภาษีบุคคลธรรมดาผู้มีรายได้ไม่เกิน 500,000 บาทต่อปีทุกอาชีพ รวมถึงนำค่าผ่อนบ้านหลังแรกมาลดภาษีได้ 200,000 บาท เพิ่มสิทธิบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ครอบคลุม ค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ค่าเดินทางสาธารณะ วินมอเตอร์ไซค์ แท็กซี่ และอื่น ๆ รวมถึงจะมีประกันชีวิตในวงเงิน 200,000 บาทต่อรายฟรีด้วย
ด้านนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ ประธานยุทธศาสตร์การเมือง พรรคพลังประชารัฐ ระบุว่า ปัญหา กทม.นับวันจะรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะมลภาวะทางอากาศ จากฝุ่น PM2.5 พรรคประชารัฐจะแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน เพื่อนำอากาศบริสุทธิ์กลับคืนมาให้คนไทยทุกคน
‘นฤมล’ ดัน กรุงเทพฯ ศูนย์กลางสื่อสารและดิจิตอล
ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวปราศรัยว่า พรรคจะกระจายเพิ่มรายได้ให้คนทุกกลุ่ม และลดค่าครองชีพ ค่าใช้จ่าย เพื่อเพิ่มเงินในกระเป๋า ทุกคนจะต้องมีเงินเหลือเพิ่มขึ้น กรุงเทพฯ เป็นเมืองเศรษฐกิจหลักของประเทศ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ร้อยละ 25 มาจากกรุงเทพฯ จะผลักดันให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์การของกลุ่มสื่อสารและดิจิตอล โดยการดึงกลุ่มดิจิตอล โนมาด (Nomad) เข้ามาอาศัย เพื่อขยายตัวอุตสาหกรรม ส่วนการท่องเที่ยวยังขยายตัวได้อีกมาก จะต้องดันนักท่องเที่ยวให้เที่ยวทั่วกรุงเทพฯ และสนับสนุนผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมเพื่อผลักดันและขยายเศรษฐกิจ
ศ.ดร.นฤมล กล่าวอีกว่า กรุงเทพฯ มีย่านที่มีชื่อเสียงมากมาย ที่จะสามารถสร้างรายได้ในทุกชุมชน นอกจากการเพิ่มพลังเศรษฐกิจแล้ว จะเพิ่มพลังชีวิตด้วย กรุงเทพฯ มีประชากรกว่า 5.5 ล้านคน หากแต่มีกลุ่มประชากรที่เข้ามาอาศัยถึง 11 ล้านคน หากเพิ่มประชากรแฝง อาจมากถึง 15 ล้านคน ต้องมีสภาพแวดล้อมที่พร้อมรองรับการอยู่อาศัยของผู้คน พรรคพลังประชารัฐจะมอบคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประชากรที่อยู่และเข้ามาอาศัย โดยการพัฒนาแรงงานให้มีคุณภาพ จะมีกลุ่มพัฒนาทักษะ เรียนฟรี อบรมฟรี รวมถึงสนับสนุนการจ้างงาน และเป็นสื่อกลางระหว่างเอกชนและแรงงาน
“พรรคพลังประชารัฐ ขอโอกาสให้พลังใหม่ ทั้ง 33 คนของเรา ได้เข้าไปช่วยเพิ่มพลังให้กับพี่น้อง กทม.เพิ่มพลังเศรษฐกิจ เพิ่มพลังชีวิตให้กับทุกคน” ศ.ดร.นฤมล กล่าวทิ้งท้าย
มิ่งขวัญ ชู ‘น้ำมันเพื่อประชาชน’ ประกาศลดราคาใน 1 ปี ถ้าได้เป็นรัฐบาล
นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ คณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายพรรคพลังประชารัฐ ปราศรัยนโยบายการลดราคาพลังงาน ด้วยการรื้อโครงสร้างราคาน้ำมัน จะปรับลดให้ได้ใน 1 ปี นับตั้งแต่เป็นรัฐบาล โดยช่วง 3-4 เดือนแรก จะตั้งคณะกรรมการขึ้นมาปรับโครงสร้างใหญ่ เพื่อลดรายจ่าย ค่าเดินทาง การขนส่งสินค้า จะทำให้สามารถลดต้นทุนการผลิตสินค้า ส่งผลสินค้าอุปโภค-บริโภคจะถูกลง ซึ่งจะสามารถลดราคาน้ำมันเบนซินลงได้ลิตรละ 18 บาท คนไทยจะได้ใช้ที่ลิตรละ 25.99 บาท ส่วนน้ำมันดีเซลลดราคาลิตรละ 6 บาท อยู่ที่ 28.07 บาท
ทั้งนี้ เวทีปราศรัยของพรรคพลังประชารัฐ ดูเหมือนขาด ‘แม่เหล็ก’ ที่จะสร้างสีสันแรงกระตุ้นให้สามารถดีงความสนใจจากผู้ฟังได้ การปราศรัยยังอยู่ในแนวทางเรียบ เชิงวิชาการ ด้วยการขาดประสบการณ์ในการพูดบนเวที ที่จะเรียกคะแนนเสียงสนับสนุน สังเกตได้จากเสียงเชียร์ เสียงปรบมือ ที่ค่อนข้างน้อย แตกต่างจากการปราศรัยของพรรคการเมืองอื่น ที่เจนจัดเวที แม้จะมีความพยายามปรับตัวตนจากปกติที่เคยเห็น อย่าง ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ที่พูดบนเวทีด้วยเสียงอันดุดัน แต่กลายเป็นความแข็งกร้าว
โดยสรุปภาพรวมการจัดเวทีครั้งนี้ เหมือนขาด ‘กุนซือ’ คอยวางแผน
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: