นครศรีธรรมราช:“ณัฐวุฒิ” มั่นใจกระแสดูดเป็นเรื่องปกติธรรมดา ที่สุดแพ้อำนาจ ปชช. ชี้ คสช.4 ปี โวปฏิรูปเป็นเพียงวาทะกรรมทางการเมืองเพื่อโค่นล้มรัฐบาลอีกชุดหนึ่ง แนะรีบคืนอำนาจให้กับประชาชนตามกำหนดที่ตั้งไว้
เมื่อคืนที่วันที่ 14 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา ภายในวัดสวนป่าน ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช.ได้เดินทางมาเป็นประธานในพีสวดพระอภิธรรมศพนายสมพร รักหวาน นักจัดรายการวิทยุชื่อดังของจังหวัดนครศรีธรรมราช และนักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่เสียชีวิตเนื่องจากไตวายเฉียบพลันเมื่อวันที่ 6 พ.ค. 2561 โดยมีแกนนำ นปช. อดีตรัฐมตรี อดีต ส.ส.และสมาชิกพรรคเพื่อไทย อาทิ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก นายอารีย์ ไกรนรา จ.ส.ต.ประสิทธิ์ ไชยศีรษะ เป็นต้น
ภายหลังการสวดพระอภิธรรมศพเสร็จสิ้น นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ให้สัมภาษณ์ถึง กระแสการต่อต้านการดูด ส.ส.ว่า ่ต่อจากนี้เรื่องอะไรที่เป็นกระแส ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่าคงจะเกิดขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงวันเลือกตั้ง ส่วนพรรคการเมืองที่ไม่เห็นด้วยยังคงมั่นใจว่าในที่สุดประชาชนจะเป็นคนตัดสินใจในวินาทีสุดท้าย ขอให้มองสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติธรรมดาว่าคณะผู้มีอำนาจและได้อำนาจมาจากการรัฐประหาร มีแนวทางในการขับเคลื่อนเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตัวเอง แต่ถึงที่สุด ยังเชื่อมั่นในประชาชนโดยมาถึงยุคนี้ไม่มีใครที่จะเดินเกมเหนือเมฆเกินกว่าสายตาและการรับรู้ของประชาชนที่จะเข้าใจได้
“คิดว่า 4 ปีที่ผ่านมาทำให้คำว่าปฏิรูป ซึ่งเป็นคำที่มีความหมายในด้านบวกและเป็นสิ่งที่สังคมไทยต้องการให้เกิดเป็นรูปธรรมในการปฏิรูปหลายๆด้าน แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาการปฏิรูปเป็นเพียงวาทะกรรมทางการเมืองที่ใช้เพื่อการโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งชุดหนึ่งเท่านั้น หลังจากรัฐบาลท่านยิ่งลักษณ์ ชินวัตรพ้นไปแล้ว มาจนถึงบัดนี้เรายังไม่เห็นความชัดเจนว่าการปฏิรูปมีความสำเร็จหรือบรรลุขั้นตอนใดไปแล้วบ้าง”
การอธิบายความในเรื่องทางออกที่ดีที่สุดในเวลานี้ ต้องยก ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณขึ้นมาอธิบายถึงจะเห็นภาพชัดเจนที่สุด เพราะการที่จะรู้ว่าบ้านที่กำลังสร้างคืบหน้าไปถึงไหน มีปัญหาอุปสรรคตรงไหน ไม่มีใครบอกได้ชัดเท่ากับผู้รับเหมา คุณบวรศักดิ์ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้รับเหมาร่างกฎหมายให้กับคณะผู้มีอำนาจชุดปัจจุบันอธิบายรูปธรรมของการปฏิรูปว่า 4 ปีมีแต่แผน และไม่ทราบว่าจะประสบความสำเร็จได้เมื่อไหร่ หรืออย่างไร นี่คือคำตอบสุดท้ายที่สังคมไทยต้องทำความเข้าใจร่วมกันให้ได้
“ส่วนตัวยังคาดหวังว่าหลายเรื่องที่เป็นข้อจำกัด หรือเป็นสิ่งที่ต้องแก้ไขในบ้านเมืองนี้คงจะเดินหน้าไปสู่การปฏิรูปได้แต่การปฏิรูปนั้นต้องเกิดจากมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริงเท่านั้น ไม่ได้เกิดจากคณะผู้มีอำนาจคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ส่วนที่คิดว่าอาจจะเกิดความรุนแรงขึ้นได้ ตนไม่คิดเช่นนั้นเพราะเชื่อว่าคนไทย ต่างรอวันเลือกตั้งซึ่งผู้ที่จะให้ความชัดเจนได้มากที่สุดคือคณะผู้มีอำนาจ โดยยังหวังใจว่าในเดือน ก.พ. 2562 จะมีการเลือกตั้งจริงๆตามที่ผู้มีอำนาจประกาศเอาไว้ เพราะหากลากดึงให้ล่าช้าออกไปสถานการณ์ที่เป็นอยู่ก็จะไม่มีอะไรดีขึ้น และสุดท้ายคณะผู้มีอำนาจจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะ 4 ปีมันนานเกินพอสำหรับการเข้ามามีอำนาจด้วยวิธีพิเศษ จึงจำเป็นที่จะต้องคืนอำนาจกลับไปให้ประชาชนได้ตัดสินใจอนาคตประเทศของเขา”
สำหรับประเด็นที่หลายๆคนกังวลว่าจะมีการปฏิวัติรัฐประหารซ้อนหรือไม่นั้น ตอบไม่ได้ แต่ขอภาวนาว่าอย่าให้มีเลยแม้ว่าการกระทำดังกล่าวจะทำให้อำนาจของผู้มีอำนาจชุดนี้หมดไป แต่ตนคิดว่าการจะจัดการกับสิ่งที่เห็นว่าไม่ถูกต้องจะต้องจัดการด้วยวีการที่ถูกต้องเท่านั้น เราไม่สามารถที่จะใช้การรัฐประหารเพื่อลบรอยอำนาจรัฐประหารชุดที่ผ่านมาได้ การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายควรจะเกิดตามกระบวนการประชาธิปไตย โดยเมื่อมีการเลือกตั้งผลปรากฏออกมาเป็นอย่างไรทุกคนทุกฝ่าย โดยเฉพาะผู้มีอำนาจจะต้องยอมรับการตัดสินใจของประชาชน ดังนั้นรัฐบาลและ คสช.จะต้องเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง ไม่ว่าจะทำเรื่องการปฏิรูป หรือทำเรื่องใดอยู่ หรือหากท่านนายกฯมีแนวทางที่จะตั้งพรรคการเมืองเพื่อจะอยู่ในอำนาจต่อไป ก็ควรจัดให้มีการเลือกตั้งและกล้าที่จะรับฟังการตัดสินใจของประชาชน โดยเฉพาะที่มีผลโพลออกมาระบุว่าส่วนใหญ่ประชาชนยังต้องการ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป ถ้าโพลระบุออกมาอย่างนั้นก็ควรจะรีบจัดการเลือกตั้งให้ประชาชนตัดสินใจเพราะมันน่าจะอธิบายการเข้าสู่อำนาจต่อไปได้ และสิ่งที่ประชาชนอย่างเห็นที่สุดในตอนนี้คือทิศทางของประเทศในการเดินไปสู่กระบวนการประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: