นครศรีธรรมราช:“ณัฐวุฒิ” ไม่เกี่ยงใครเป็นนายกรัฐมนตรี ถือเป็นวิถีประชาธิปไตย ไม่ควรเดินทางเก่า หลังเลือกตั้ง ปชช.เจ้าของอำนาจรู้ผล สิ่งแรกที่ควรแก้ไขปัญหาในตอนนี้ คือปัญหาปากท้อง เศรษฐกิจที่ตกต่ำย่ำแย่
กรณีเกิดกระแส “โมเดลมหาธีร์” ส่งผลให้ประชาชนคนใต้ต่างส่งเสียงเรียกร้องให้ชูนายชวน หลีกภัย กลับเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้งเพื่อขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เหมือนเช่นประเทศมาเลเซียที่นายมหาธีร์ มูฮัมหมัด ชนะการเลือกตั้งได้ขึ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น
ล่าสุด วันที่ 15 พฤษภาคม 2561 ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) อดีต อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวถึงกระแสสนับสนุนนายชวน หลีกภัย ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีว่า ในวิถีทางระบอบประชาธิปไตยใครก็ตามมีสิทธิที่จะเสนอเป็นทางเลือกของประชาชน เพราะประชาชนไม่ได้มีข้อจำกัดเรื่องอายุ หรือช่วงเวลาที่อยู่ในเวทีทางการเมือง แต่ประชาชนจะตัดสินใจเองว่า หลักการ จุดยืนและอุดมการณ์ทางการเมืองของบุคคลหรือพรรคการเมืองใด เป็นแบบไหน มีผลงานมีนโยบายที่จะฝากความหวัง ความเชื่อมั่นไว้ได้หรือไม่ เพราะฉะนั้นจะเป็นคุณชวน หรือใครก็ตามผมไม่ปฏิเสธ และจะยินดีอย่างยิ่งถ้าบุคคลพร้อมที่จะประกาศตัวให้ประชาชนเลือกอย่างตรงไปตรงมาและเคารพกติการ่วมกัน
“วันนี้เรื่องที่ควรจะดำเนินการแก้ปัญหาควบคู่ไปกับปัญหาทางการเมืองคือเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้องของประชาชนที่เป็นความสำคัญอันดับหนึ่งที่รัฐบาลนี้หรือรัฐบาลไหนก็ตามต้องเร่งแก้ปัญหาให้ได้ ผมเห็นตัวเลขที่ฝ่ายเศรษฐกิจรัฐบาลนี้แถลงออกมาว่าหลายๆเรื่อง ไม่ว่าการส่งออก การลงทุน หรือเรื่องต่างๆ ที่อธิบายว่าเป็นตัวเลขในทางบวกแต่จากการที่ผมสัมผัสกับประชาชนคนระดับล่าง คนหาเช่ากินค่ำ คนเดินดิน กินข้าวแกงทั่วๆ ไป ผมรับรู้มาตลอดว่าสภาพชีวิตกำลังยากลำบาก การประกอบอาชีพ ทำมาหากินกำลังฝืดเคืองต่อเนื่องกันมาหลายปีแล้ว เรื่องนี้จึงยังเป็นความสำคัญอันดับหนึ่ง อย่างไรก็ตามเชื่อว่าหากประเทศมีการเลือกตั้ง กระบวนการประชาธิปไตยเดินหน้าได้ก็น่าจะเป็นโอกาสในการแก้ไขคลี่คลายวิกฤติทางเศรษฐกิจ ปากท้องของชาวบ้านได้ ซึ่งคิดว่าประชาชนจำนวนมากมีความคาดหวังในการเลือกตั้งว่าน่าจะเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองไปในทางที่ดีได้ ดังนั้นการที่ฝ่ายเศรษฐกิจของรัฐบาลบอกว่าเศรษฐกิจกำลังดีผมก็รับฟัง แต่อยากจะบอกว่าสิ่งที่ประชาชนเขาสะท้อนมาให้ได้ยินได้รับรู้นั้นมันตรงกันข้ามกับการยืนยันของรัฐบาล”
สำหรับผลโพลที่ออกมาระบุว่า ประชาชนต้องการนักการเมืองจากพรรคการเมืองใหม่ และไม่ต้องการพรรคเก่าๆ นั้นตนมองว่า การที่จะมีพรรคการเมืองเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพรรคเก่าหรือนักการเมืองเก่ารวมตัวกันตั้งพรรคใหม่ขึ้นมาก็ตามล้วนเป็นเรื่องงดงามในระบอบประชาธิปไตย และหากประชาชนบอกว่าพรรคใหม่ฝากความหวังไว้ได้และตัดสินใจเช่นนั้น พรรคเก่าๆ ก็ต้องยอมรับและปรับปรุงพัฒนาตัวเองให้เป็นทางเลือกของประชาชนในการเลือกตั้งครั้งต่อๆไป มองว่าประเด็นไม่ได้อยู่ที่พรรคใหม่หรือพรรคเก่า แต่ประเด็นอยู่ตรงที่ประเทศไทยไม่ควรเดินไปในทางเก่าอีกต่อไปแล้ว ซึ่งเราควรจะเลือกเส้นทางใหม่คือ เส้นทางที่ให้กระบวนการประชาธิปไตยแก้ปัญหาของตัวเองแล้วรักษาระบบเอาไว้ให้ได้ ไม่ใช่พอเกิดปัญหาก็หาข้ออ้างมาทำลายระบบจนทำให้เราต้องย่ำเท่าอยู่กับทางเก่าตลอดในหลายปีที่ผ่านมา
นายณัฐวุฒิยังได้กล่าวทิ้งท้ายเรื่องปัญหาทุจริตคอรัปชั่นว่า ยังคงเป็นปัญหาที่ไม่ว่าจะเป็นอำนาจรัฐแบบไหนจำเป็นที่จะต้องได้รับการแก้ไข แต่หากมีการเลือกตั้งจะทำให้กลไกในการตรวจสอบทำงานได้จริง เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนกว่า แม้ว่าการเลือกตั้งไม่สามารถทำลายการทุจริตคอรัปชั่นได้ แต่การเลือกตั้งจะเป็นเวทีการตรวจสอบให้กว้างขึ้น จับต้องได้มากขึ้น และจะทำให้สิทธิ์เสียงของประชาชนในฐานะเจ้าของอำนาจที่แท้จริงสัมผัสกับอำนาจรัฐได้มากกว่าที่เป็นอยู่อย่างแน่นอน
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: