เวลา 11.45 น. วันที่ 13 ก.ค. 2564 ร.ต.อ.พิษณุ อุงจิตต์ตระกูล รอง สว.(สอบสวน ) สภ.โคกสลุง อ.พัฒนานิคม ลพบุรี ได้รับแจ้งมีผู้เสียชีวิตถูกยิงด้วยอาวุธปืนที่ บ้านเลขที่ 40/3 หมู่ที่ 2 ต.โคกสลุง จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ พร้อมทั้งได้ประสานแพทย์เวร รพ.พัฒนานิคม และอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูร่วมเดินทางไปยังจุดเกิดเหตุ
ที่เกิดเหตุเป็นบ้านไม้ยกสูงพบมีชาวบ้านมุงดูอยู่จำนวนหนึ่ง ชั้นบนทางเข้าประตูพบร่างนายประดิษฐ์ เสนาะสลุง อายุ 65 ปี เจ้าของบ้าน นอนหงายเหยียดยาวในสภาพสวมเสื้อเชิ้ตลายสก๊อต กางเกงขายาวสีดำ ระหว่างขาพบอาวุธปืนลูกซองยาวเดี่ยว ขนาด 12.มม (หรือเบอร์ 12) วางพาดอยู่ ที่หน้าผู้ตายถูกแรงกระสุนปืนหายไปทั้งแถบ เป็นที่สภาพสยดสยอง มันสมอง เลือดกระจายเกลื่อนเต็มพื้น กลิ่นคาวคละคลุ้งเลือดไหลลงพื้นล่าง ใกล้ศพพบปลอกกระสุนปืน จำนวน 1 ปลอก สายกระสุน 1 อัน ที่ฝาบ้านพบมีรอยกระสุนปืนทะลุจำนวนหลายรู จากการชันสูตรพลิกศพของแพทย์ พบว่ามีร่องรอยการยิงที่ปลายคางแรงกระสุนพุ่งตรงไปยังศีรษะจนกะโหลกแตกกระจายหายไปทั้งแถบ ในเบื้องต้นคาดเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมง
จากการสอบถามนางสมศรี(นามสมมุติ) อายุ 52 ปี น้องสาวผู้ตาย เล่าว่า พี่ชายอยู่กับลูก 2 คน ซึ่งภรรยาได้เสียชีวิตไปก่อนหน้าแล้ว เมื่อเช้าตนเองกับคนตายได้พูดคุยกันถึงเรื่องสภาพความเป็นอยู่ที่ย่ำแย่ เงินทองหายากขึ้นทุกวัน อีกทั้งไปไหนมาไหนก็ไม่สะดวกเหมือนเดิม เพราะพี่ชายมีโรคประจำตัว กลัวจะไปติดเชื้อโควิดที่กำลังแพร่ระบาดอย่างหนักในพื้นที่ใกล้บ้าน และยังไม่มีโอกาสได้รับวัคซีนจากรัฐ หรือหน่วยงานใดสักเข็มเดียว จนทำให้เครียดสะสมมานาน ตนเองก็ได้แต่ปลอบใจ ให้กำลังใจพี่ชายต่อสู้ไปด้วยกันจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย
นางสมศรี เล่าต่อวาเมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. ตนเองได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด จึงได้ตะโกนถามว่ายิงอะไร พี่ชายบอกว่าลองปืน เก็บปืนและกระสุนไว้นานหลายปีแล้วกลัวมันด้าน ผ่านไปสักประมาณ 40 นาที ก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีก 1 นัด จึงได้ตะโกนถามยิงอะไรอีก ครั้งนี้ไม่มีเสียงตอบวิ่งมาดูถึงกับทรุดพี่ชายใช้อาวุธปืนยิงตัวเองตายคาประตูบ้านแล้ว ทั้งนี้จากการสันนิฐานผู้ตายเครียดจนสุดทางตัน ได้นั่งพิงฝาบ้านวางอาวุธปืนไว้ซอกขา จ่อปากกระบอกปืนที่ใต้คาง โดยใช้นิ้วโป้งเท้าในการลั่นไกปืน จนดับสยองดังกล่าว ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวทางญาติไม่ติดใจในการตาย ทางร้อยเวรได้นำร่างส่งพิสูจน์ รพ.พัฒนานิคมอีกครั้ง ก่อนมอบร่างไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีต่อไป
