นนทบุรี – กระทรวงสาธารณสุข เตรียมจัดแผนบริหารยาฟาวิพิราเวียร์ใหม่ หลังพรุ่งนี้จะได้มาอีก 100,000 เม็ด ระดมพลชี้แจง ญี่ปุ่นยังไม่บริจาคเข้ามาและแค่ศึกษาวิจัยร่วม จึงต้องจัดหาเพิ่มอีก 350,000 เม็ด
วันที่ 5 เมษายน 2563 นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์, นายแพทย์ไพศาล ดั่นคุ้ม รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. และนายแพทย์วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม ร่วมกันแถลงชี้แจง ผ่านศูนย์แถลงข่าวโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) กระทรวงสาธารณสุข กรณีมีข่าวญี่ปุ่นจะบริจาคยาฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสโควิด-19 ให้ประเทศไทย โดยยืนยันว่า ยังไม่มีการบริจาคเข้ามาตามที่หลายคนเข้าใจ และหากจะบริจาคให้ ไทยจะต้องเข้าร่วมเป็น 1 ใน 30 ประเทศ ที่จะต้องทำการศึกษาวิจัยกับญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม ทราบว่าอาจจะมีการให้ยาฟรี ที่โรงเรียนแพทย์แห่งหนึ่ง แค่หลักสำหรับ 100 คน หรือราว 7,000 เม็ด เฉพาะเพื่อการศึกษาวิจัย ไม่ใช่ให้มารักษาคนไข้ทั่วไป ขณะที่การใช้รักษาผู้ป่วยจริงเฉพาะ มี.ค. ต้องใช้ถึง 48,000 เม็ด
ตอนนี้ไทยยังคงต้องซื้อยา เพื่อรีบนำมาใช้รักษาผู้ป่วย จะรอให้ญี่ปุ่นบริจาคให้ไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าจะมีการบริจาคจริงหรือไม่ รัฐบาลญี่ปุ่นเองก็ไม่ค่อยทราบเรื่องที่จะมีบริจาคยาให้ไทย คาดว่าเป็นเรื่องของบริษัทยาญี่ปุ่นที่ผลิตยาตัวนี้ แล้วจะมอบยาให้เพื่อศึกษาวิจัยเท่านั้น ส่วนที่ไม่สามารถจัดหามาได้คราวละมาก ๆ เพราะเป็นยาหลักที่ทั่วโลกต้องการและผลิตได้อย่างจำกัด
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ไทยซื้อยาฟาวิพิราเวียร์ จากญี่ปุ่นมา 5,000 เม็ด และจีนบริจาคให้อีก 2,000 เม็ด หลังจากนั้น มีการติดต่อซื้อเรื่อยมา โดยมีแผนจัดหาและบริหารยา ดังนี้
ตั้งแต่วันที่ 5 ก.พ.-30 มี.ค. นำเข้ายาจากต่างประเทศ ทั้งซื้อจากญี่ปุ่น และรับบริจาคจากจีน รวม 87,000 เม็ด ใช้รักษาผู้ป่วยไปแล้วกว่า 48,875 เม็ด คงเหลืออยู่ 38,126 เม็ด และในคลังกลาง 11,700 เม็ด มีเป้าหมายจัดหาเพิ่มอีก 350,000 เม็ด ซึ่งได้สั่งซื้อจากจีนแล้ว 100,000 เม็ด จะได้รับยาในวันพรุ่งนี้ (6 เม.ย.) และสั่งซื้อจากญี่ปุ่นไปแล้วอีก 100,000 เม็ด
ทั้งนี้ ถ้านับจนถึง 6 เม.ย. จะมียา 187,000 เม็ด คาดว่าถ้าได้รับยาจากทั้ง 2 ประเทศนี้ ตามกำหนดการจริง มั่นใจว่าประเทศไทยจะมียาฟาวิพิราเวียร์เพียงพอที่จะใช้ในการรักษาได้ประมาณ 4 เดือน
ดังนั้น ในโอกาสที่จะมียาเข้ามาอีกเป็นแสนเม็ด พรุ่งนี้ (6 เม.ย.) คณะผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงจะปรับแนวทางการรักษาและให้ยา
