นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา เขียนบทวิเคราะห์จากควันไฟในป่า ระบุว่า
ล่วงเลยฤดูสงกรานต์ …ข่าวไฟเผาป่าดูจะซา ๆ ไปบ้าง..จะเพราะโควิดเบียดพื้นที่หรือเพราะไฟดับไปจนได้แล้ว..ก็ตาม
ข่าวไฟในป่าปีนี้ดูจะหนักหนากว่าทุก ๆ ปี ..ยืนยันได้จากระดับฝุ่นควันที่ทำให้เชียงใหม่และอีกหลายพื้นที่ทำสถิติคุณภาพอากาศ.. ระดับใหม่ของโลก!
ชาวบ้านต้องทนอยู่กับทั้งควันและโควิด
คนเมืองต้องจำใจเปิดแอร์ในห้องตลอดวันและคืน เพื่อให้ลูก ๆ และคนสูงวัยอยู่ได้
ในวันที่ค่าไฟแพงเพราะคอมเพรสเซอร์แอร์ต้องทำงานหนักกว่าเวลาปกติ
ที่เรียกว่าไฟในป่า เพราะมันไม่ใช่ไฟป่า
แต่มาจากไฟที่มือคนจุดแล้ว..เผาป่าวอดต่างหาก
เพียงแต่จุดไฟแล้วติดง่าย..ลามโหมเร็วเพราะภาวะ “climate crisis”
หน้าแล้งมาเร็วแถมแช่อยู่ยาวนาน
ไม้คลุมดินแห้งและใบไม้ร่วงลงมาทับถมหลาย ๆ ชั้น
พืชเรือนยอดก็แห้งเหี่ยว
พอไฟติดลามถึง เปลวก็โชนขึ้นที่สูงได้ง่ายกว่าปีเก่า ๆ
ไฟจึงโดดข้ามต้นไม้..ลูกไฟพาไปลามที่อื่น ๆ ต่อ
ถ้าลูกไฟหล่นลงที่ลาดชัน ก็จะกลิ้งตามพื้นหญ้าแห้งไปหยุดที่หลุมสะสมของใบไม้แห้ง
นี่เป็นอีกเหตุที่ทำให้การเข้าดับไฟป่า..มีอันตรายมาก
จึงขอแสดงความคาราวะต่อผู้เป็นเจ้าหน้าที่และอาสาสมัครดับไฟป่าทุกท่าน..และขอคาราวะดวงจิตของผู้ที่ต้องมาสูญเสียชีวิตและอวัยวะในการทำภารกิจเพื่อสังคมอย่างทุ่มเท
ยิ่งการดับไฟมีทั้งกลางคืนกลางวัน ทัศนวิสัยแย่ ทั้งร้อนทั้งควันบดบัง..น้ำดื่มยังแทบจะไม่มี..เพราะการขึ้นเขาเข้าป่า..ย่อมพกสัมภาระไปได้น้อยชิ้นมาก
พอเห็นภาพตามไม่ยากนะครับ
นี่อธิบายการลามและการพยายามดับ
แต่สาเหตุพื้นฐานการจุดไฟล้วนมาจาก
1.ความโลภ
2.ความโกรธ
3.ความหลง และ
4.ความชิน! (ซึ่งจริงๆแล้วก็หลงเหมือนกัน)
1.เผาจากความโลภ.. เป็นสัดส่วนใหญ่ที่สุดของการเผา..มุ่งเพราะจะทำลายให้ป่าเสื่อมสภาพ แล้วจะได้รุกเข้าไปทำไร่ทำสวน พวกนี้นายทุนเป็นคนจ้างจุด..
บางกรณีมีผู้อธิบายว่า เจ้าของไร่กลัวดาวเทียมทางการจะบันทึกได้ว่าจุดความร้อนเริ่มมาจากเขตเพาะปลูกของตัว
เลยบุกไปปล่อยไฟในป่าต้นลม เพื่อให้ลามมาให้ถึงเขตเพาะปลูกเตรียมแปลงที่ตัวอยากให้มีไฟเคลียร์ให้
แต่เรื่องแบบนี้ถ้าทำบ่อยเข้า..ชุมชนมักจะล่วงรู้
ดังนั้น ต่อไปถ้าสามารถกำกับผลผลิตพืชไร่ที่ออกมาส่งโรงแปรรูปคราวละเป็นจำนวนมาก ๆ ที่เคลื่อนออกมาจากอำเภอที่มีไฟในป่า
หากสามารถแสดงข้อมูลรับรองจากประชาคมในชุมชนกำกับ (แบบ food tracibility)ว่านี่ไม่ใช่ผลผลิตที่มาจากแปลงที่เคยเผาปล่อยไฟ..ไม่งั้นจะถูกลดราคารับซื้อลง..
ก็อาจพอหวังได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างนายทุนการเกษตรกับชุมชนรอบข้าง จะเอื้อจะฟังกันมากขึ้นได้
เห็ดป่า..สัตว์ป่าทั้งที่ยังเป็น ๆ และที่รอล่ามาแล่ขายให้เป็นอาหาร ตลาดคนชอบของแปลกนั้น ก็ควรมีการรณรงค์ให้งดในการพาณิชย์เสียเด็ดขาด
เห็ดปลูกที่อร่อยพอกับเห็ดป่ายังมีให้เลือกอีกพอควร
อาหารเผ็ดแบบป่าแต่ไม่มีเนื้อสัตว์ป่าก็น่าจะทำได้โดยไม่ต้องไปรังแกสัตว์
ไม่ต้องไปเผาป่าเพื่อต้อนให้พวกเค้าวิ่งเข้าสู่ทางธนู ทางปืน
ตลาดนักชิมต้องไม่ต้อนรับเมนูจากความโลภเหล่านี้
2.เผาจากความโกรธ… ในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งกันระหว่างผู้เสียประโยชน์ ในเขตป่าสงวนและป่าอนุรักษ์ vs เจ้าหน้าที่ดูแลป่าไม้ที่มีจำนวนน้อยกว่าขนาดพื้นที่และขนาดปัญหาอย่างหนักนั้น
ย้ำด้วยแนวคิดเชิงนโยบายเรื่องเอาคืนผืนของป่า
พอเป็นผืน..สิ่งที่จะทำงานแบบละเอียดได้ก็อาจจะถูกรวบรัด..จำกัดเวลา
บ่อยครั้งที่ผู้เสียประโยชน์ซึ่งเป็นคนในพื้นที่ สู้เอกสารอำนาจรัฐไม่ได้ ทำใจยาก
ข้อสงสัยจากฝ่ายรัฐบางฝ่ายก็จึงสงสัยว่าคงมีใครสักคนเคืองและเดินลึกเข้าป่าไปจุดไฟให้สมแค้น..
จุดความร้อนบนภาพถ่ายดาวเทียมคงพอบอกได้ ว่าจุดที่ไฟเริ่มไหม้ในป่านั้น..มีเป็นจำนวนมากที่อยู่ห่างเส้นทางคมนาคมไปลึกกว่าปกติที่จะมีใครเผลอ ดีดก้นบุหรี่จากพาหนะไปติดไฟ..หลายๆจุดความร้อนที่ตรวจได้อยู่ในที่สูงชันหรือที่ลึกเข้าในเขตป่า….แถมบางที่ไม่ใช่เขตป่าเต็งรังซึ่งโปร่งและแห้ง
แต่เป็นป่าดิบที่ปกติไม่มีไฟป่าตามธรรมชาติเองได้ง่ายๆ
แบบนี้แก้ไขยาก..แต่ยังอาจป้องกันเหตุขัดแย้งด้วยการใช้กระบวนการยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ กระบวนการยุติธรรมทางเลือก ที่ชุมชนและสังคมมีน้ำหนักในการช่วยระงับความขัดแย้งได้เพิ่มขึ้น
ใช้กระบวนการทางประชาสังคมมาช่วยรักษาท่าทีการประนีประนอมหาทางออกที่ไม่ต้องให้โกรธแค้นกันได้หรือไม่เพียงใด
ข้อนี้ซับซ้อน..แต่ดูจะเป็นหนึ่งในเหตุที่ไฟในป่าปีนี้มาจากเหตุนี้ไม่น้อย
บางกลุ่มของสังคม..ยังแอบสงสัย..หรือว่ามีคนของรัฐไปจุดเพื่อไล่ชาวบ้านก็ยังมีให้ได้ยิน
แตกร้าวแบบนี้..ความสามัคคีดับไฟคงไปได้ไม่มาก
ถ้าไฟในใจยัง คุ กรุ่น
3.ไฟจากความหลง…จะด้วยคึกคะนอง..จะด้วยประมาทเช่นเผาตอซัง..เผาขยะ..เผาใบไม้แห้งแล้วดับไม่ไหวหรือดับไม่สนิทจึงลามเข้าป่า….
4.ไฟจากความชิน… เคยทำไร่เลื่อนลอยแล้วยากไร้ ดินไม่สมบูรณ์ยังไงก็ยังจุดไฟเปลี่ยนที่ใหม่เพื่อจะทำอย่างเดิม ๆ.. จนราวกับเป็นประเพณีที่ต้องยอมรับ..เรื่องนี้อาจมีประเด็นที่ขาดการพิสูจน์ให้เห็นเชิงประจักษ์ว่า แล้วทำยังไงถึงจะถูก
เหตุสองอย่างหลังนี้มีเนือง ๆ.. และยังต้องรณรงค์ตลอดจนเอาผิด หากสืบจับมาได้
แต่โทษขังโทษปรับอาจไม่ได้ช่วยให้สำนึกเรียนรู้เท่าคำสั่งกำหนดให้ไปช่วยดับไฟป่ากับเจ้าหน้าที่อย่างเต็มกำลัง..ไม่งั้นก็ค่อยส่งไปเข้าทำงานบริการสังคม
สี่เหตุข้างต้นนี้.. เราทุกคนจะช่วยได้มากในเหตุแรกสุด ถ้าเราเลือกซื้อเลือกนำสินค้าเข้าโรงงานหรือส่งออกโดยเคร่งครัดเข้มงวดเอากับถิ่นที่มาและวิธีปลูกที่ไม่เผา…
ตลาดแต่ละทอดก่อนหน้าก็ยังพอจะปรับตัวไปได้บ้าง
แต่ถ้าตลาดไม่โต้..การเผาเพราะโลภก็จะขยายตัวต่อไป
การรับฟังกันและกันให้มาก..ให้ทั่วถึงระหว่างรัฐ เอกชน และชุมชน สำคัญที่สุด
แต่ละฝ่ายในแต่ละพื้นที่เสี่ยง..มีปัจจัยที่ไม่เหมือนกัน
ฟังกันให้มากแล้วทำข้อสรุปมาประมวลบันทึกเพื่อร่วมเรียนรู้
จะมีผลสำคัญ..เพราะฝ่ายรัฐมีการโยกย้ายตามฤดูกาล
ทุกอย่างจะได้ไม่ต้องเริ่มใหม่ทุกหน
สุดท้ายอีกข้อสังเกตก็คือ…การสร้างแนวกันไฟนั้นดีเยี่ยมและต้องพยายามชวนกันไปทำเพิ่ม
สร้างแนวกันไฟที่ไหนก็พึงชักชวนรถขน..ให้เข้าไปช่วยขนเศษวัสดุเชื้อไฟออกมาจำหน่ายบดผสมกับดินข้างนอกป่าเป็นดินปลูกที่อุดมสมบูรณ์ด้วย
แต่เรื่องนี้อาจต้องมีแก้ระเบียบกฏหมาย..ไม่งั้นจะกลายเป็นคดีเสียอีก
ป่าธรรมชาตินั้น..ถ้ายังมีเชื้อไฟท่วมหนาการดับก็จะยิ่งยาก
บางพื้นที่ที่ควรจัดการเผาเล็กแบบร่วมมือดำเนินการแบบรัฐ+ชุมชน เพราะขนเชื้อไฟออกไม่มีทางได้ก็ควรทำไป
ไม่รอให้ต้องกลายเป็นไฟใหญ่
มาตรการห้ามจุดไฟเด็ดขาดที่จริงก็มีข้อด้อยอีกด้านของมัน
ส่วนน้ำในป่าเป็นสิ่งที่ควรรักษาและจัดหาเพิ่มเสมอๆ
แนวกันไฟด้วยการปลูกกล้วยและไม้ชุมน้ำเป็นสิ่งที่น่าทำมาก
ในพื้นที่บางประเภทอาจใช้บริการการขุดบ่อบาดาลในที่สูงเพื่อสูบขึ้นมาเก็บในอ่างเก็บด้วยพลังสูบแสงอาทิตย์..
ในหน้าฝนก็ควรชวนกันวางกระบอกตะบันน้ำตามลำธารเพื่อกระทุ้งกระแทกส่งน้ำขึ้นท่อไปเก็บบนดอยไว้ตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืน
สะสมจากอะไรน้อยๆแต่ถูกราคาก็สามารถเรียนรู้สะสมไปสู่ผลที่ใหญ่กว่าคาดได้
จะวางฝายทั้งดักน้ำดักตะกอน..วางคันกั้นด้วย soil cement ในลำน้ำไปให้สม่ำเสมอเพื่อทำให้ลำรางรักษาน้ำ คงความเปียกชื้นให้นานที่สุด
ในระยะเริ่มแรก จะมีงบจ้างประชาชนในพื้นที่ ทั้งด้วยเหตุโควิดและไม่โควิดมาช่วยดำเนินการตามแผนฝึกฝนสร้างคนเพิ่มตามป่าที่เสี่ยงก็น่าพิจารณา
หากทำทั้งหมดข้างต้นได้ไปต่อเนื่องนานพอ
เราคงหวังได้ว่าวันหนึ่ง
ไฟในป่า..จะมาจากไฟป่าจริง ๆ หรือถ้าจุดก็มาจากความรู้และความพร้อมอย่างเปิดเผย มีความเข้าอกเข้าใจวิธีจัดการทั้งฝ่ายรัฐและชุมชน
ไม่ใช่ “ไฟจากมือคนสี่เเบบข้างต้น!!”
ถึงเวลาที่ต้องแก้ให้ถึง “เหตุ”
ไม่ใช่แก้เฉพาะที่ “อาการ”
และ..ไม่ต้องแก้แบบ “เห็นแก่หน้ากันเป็นรายปี..รายที่” อีกต่อไป
วีระศักดิ์ โควสุรัตน์
สมาชิกวุฒิสภา
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: