การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. ผลักดันการบริหารจัดการน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยอาศัยความร่วมมือกับ กรมชลประทาน เพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำท้ายเขื่อนชลประทาน เป็นไปตามยุทธศาสตร์การผลักดันส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนของกระทรวงพลังงาน เนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำท้ายเขื่อนชลประทาน มีอายุการใช้งานยาวนาน และมีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าถูกกว่าพลังงานหมุนเวียนประเภทอื่น
โรงไฟฟ้าพลังน้ำท้ายเขื่อนชลประทาน มีกระบวนการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานน้ำ โดยนำน้ำที่เขื่อนจะต้องระบายอยู่แล้ว มาผ่านเครื่องผลิตไฟฟ้าอีกครั้งหนึ่ง ก่อนระบายลงสู่พื้นที่ท้ายน้ำตามเดิม โดยยังสามารถใช้น้ำเพื่อการชลประทานได้ปริมาณเท่าเดิม นับเป็นการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดและคุ้มค่า เกิดความมั่นคงทางพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
กฟผ. ร่วมกับกรมชลประทาน พัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำท้ายเขื่อนชลประทาน ตั้งแต่ปี 2550 โดยดำเนินการก่อสร้างเสร็จแล้ว 8 เขื่อน ประกอบด้วย เขื่อนเจ้าพระยา นเรศวร แม่กลอง ป่าสักชลสิทธิ์ ขุนด่านปราการชล แควน้อยบำรุงแดน เขื่อนกิ่วคอหมา และเขื่อนจุฬาภรณ์ กำลังการผลิตรวม 85.45 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ โครงการพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังน้ำท้ายเขื่อนชลประทาน กฟผ. กำลังอยู่ระหว่างก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำท้ายเขื่อนอีก 2 แห่ง ในจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนคลองตรอน ขนาด 2.5 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนผาจุก ขนาด 14 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนธันวาคม 2563 และเดือนธันวาคม 2564 ตามลำดับ เมื่อดำเนินการแล้วเสร็จ โรงไฟฟ้าพลังน้ำท้ายเขื่อนชลประทานของ กฟผ. ทั้งหมดจะมีกำลังผลิตรวม 101.95 เมกะวัตต์
โรงไฟฟ้าพลังน้ำจึงเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ที่ช่วยเสริมความมั่นคงระบบไฟฟ้า ช่วยสร้างความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ทำให้กำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในระบบผลิตไฟฟ้าของประเทศ ลดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงจากต่างประเทศ ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อีกทางหนึ่ง
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: