กรุงเทพฯ – ปริญญ์ พานิชภักดิ์ ชูแนวคิดพลิกวิกฤติโควิด-19 ผ่านนวัตกรรมและเทคโนโลยีทันสมัย ร้องภาครัฐต้องเร่งสนับสนุนและขจัดอุปสรรคเพื่อให้เติบโต
นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัยพรรคประชาธิปัตย์ และประธานคณะกรรมการธุรกิจเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวตอนหนึ่ง ในงาน Startup Thailand x Innovation Thailand Expo 2020 ว่า เราจะเห็นการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยในมุมต่าง ๆ มากมาย หลังเกิดโควิด-19 โดยก่อนเกิดโควิด-19 คนเริ่มพูดกันถึงเรื่อง Digital Transformation ทั้งภาครัฐภาคเอกชนหรือแม้แต่ระดับประเทศ แต่ที่ผ่านมา ยังไม่สามารถ Transform ตัวเองได้ เพราะไม่ว่าจะเป็น CEO (Chief Executive Officer) หรือ CTO (Chief Technology Officer) ก็ยังทำไม่สำเร็จ แต่เมื่อมาเจอ C : COVID-19 (โควิด-19) กลายเป็นตัวช่วยสร้างกระบวนการ Transformation องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนไปในทันที
ปรากฏการณ์ work from home (WFH) ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ไม่ชินมาก่อน สามารถเกิดขึ้นได้และทำได้ดี การจัดอีเวนต์งานต่าง ๆ ต้องจัดแบบ Virtual ออนไลน์ อย่างงาน Startup Thailand x Innovation Thailand Expo 2020 นี้ ก็หันมาจัดแบบออนไลน์ ซึ่งกลับเป็นผลดี ทำให้คนสามารถเข้ามาดูได้นับหมื่น ๆ คนได้
นายปริญญ์ กล่าวต่อว่า หลายธุรกิจไม่ได้ตายไปกับโควิด-19 แต่กลับเติบโต อาทิ ธุรกิจจัดส่งอาหาร หรือธุรกิจเกษตรที่ จ.ร้อยเอ็ด และยโสธร กลับมีรายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้นเพราะการขายออนไลน์ และยังทำให้เกิดการนำนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาใช้ เช่น การใช้โดรนส่งสินค้า การท่องเที่ยวเชิงเกษตรแบบ Virtual ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้ท่องเที่ยวได้เสมือนจริง เป็นที่น่าเสียดายว่าแม้จะมีการนำนวัตกรรมเข้ามาปรับใช้มากมาย แต่กลับไม่ค่อยเห็นการเติบโตเท่าที่ควร เพราะติดปัญหาเรื่องกฎหมายที่ทำให้เป็นอุปสรรค ทำให้นวัตกรรมไม่สามารถใช้ในประเทศไทยได้อย่างเต็มที่
หรืออย่าง Touchless Economy (เศรษฐกิจแบบไร้การสัมผัส) มาถึงไทยแล้ว แต่ไม่ค่อยมีการปรับใช้มากเท่าที่ควร อย่างจีนที่เริ่มทดลองใช้ระบบการเงินแบบดิจิทัลหยวน ไทยเพิ่งเริ่มต้นศึกษาทำดิจิทัลบาท ที่เห็นภาพ Touchless Economy ได้ชัด คือ การทำธุรกรรมการเงินผ่านออนไลน์ในช่วงโควิด-19 ที่ใช้จ่ายเงินสดลดลง และผู้คนก็เริ่มหันมาใช้การโอนเงินและการทำธุรกรรมผ่านโมบายแบงก์กิ้งกันมากขึ้น
รวมถึงมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น Blockchain / AI / IOTs แต่น่าเสียดายว่าไม่เติบโตเท่าที่ควรจะเป็น ทั้ง ๆ ที่ต่อไปเทคโนโลยีและนวัตกรรมจะเข้ามามีบทบาทในเรื่องการเงินมากขึ้น แม้แต่การปล่อยสินเชื่อ การจัดซื้อจัดจ้างของรัฐบาลก็ควรทำเหมือนกับสิงคโปร์ ที่ใช้ระบบบล็อกเชนมาสร้างความโปร่งใสมากขึ้น ทำให้ได้การบริการหรือสินค้าคุณภาพในราคาที่ถูกกว่ารัฐต้องจ่ายอยู่ตอนนี้ ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยควรนำระบบนี้มาใช้ เพื่อให้เกิดธรรมาภิบาลที่ดีขึ้น โควิด-19 จึงเป็นปรากฏการณ์ที่เปลี่ยนโลก ช่วยต่อยอดให้ธุรกิจเอสเอ็มอีหรือสตาร์ทอัพไทย เกิดการเปลี่ยนแปลงและเติบโตขึ้นได้ ถ้ารู้จักสร้างธุรกิจหรือต่อยอดธุรกิจ
“สิ่งสำคัญที่จะทำให้เอสเอ็มอีหรือสตาร์ทอัพ รอดจากโควิด-19 ได้ คือ การสนับสนุนให้โอกาสพวกเขาได้เข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ถูกและเป็นธรรม มีหลายองค์กรต้องการสนับสนุนสตาร์ทอัพให้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้ประเทศไทย แต่ประสบปัญหาเงินหมุนเวียน เพราะเครดิตที่ไม่เพียงพอ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเครดิตทางสังคม คุณค่าของตัวบุคคล และทรัพย์สินทางปัญญา (IP) มีค่าและสำคัญกว่าเครดิตที่เป็นตัวเงิน จนเกิดระบบการกู้ยืมแบบการไว้เนื้อเชื่อใจผ่านบล็อกเชน Trust ในลักษณะ Peer to Peer (P2P) Lending ทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ สนับสนุนการปรับลดกฎระเบียบและข้อจำกัดต่าง ๆ เพื่อสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมในอุตสาหกรรมการเงิน และให้โอกาสประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ถูกและสะดวกได้” นายปริญญ์ กล่าว
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: