กรุงเทพฯ – รศ.นพ.ชิษณุ พันธุ์เจริญ ย้ำ การสร้างภูมิคุ้มกันด้วยวัคซีน เป็นการลงทุนด้านสาธารณสุขที่คุ้มค่าที่สุด และเป็นหนทางนำพาประเทศสู่ทางออกของการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ
เนื่องในสัปดาห์แห่งการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคโลก (World Immunization Week 2021) ซึ่งตรงกับวันที่ 24-30 เมษายนของทุกปี รศ.นพ.ชิษณุ พันธุ์เจริญ จากสาขาวิชาโรคติดเชื้อและศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ด้านวิจัยโรคติดเชื้อเด็กและวัคซีน ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า เชื้อโรคเปรียบเสมือนข้าศึก ภูมิคุ้มกันทำหน้าที่เหมือนทหาร ถ้าเรามีทหารที่พร้อมรบ เราก็จะสามารถป้องกันโรคได้ หากมองในแง่ของการป้องกันโรค การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกายที่มีลักษณะจำเพาะเจาะจงเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะจะทำให้ลดการเจ็บป่วยจากโรคติดเชื้อต่าง ๆ การสร้างภูมิคุ้มกันด้วยการฉีดวัคซีนเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพ และยังเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่สามารถลดอัตราการป่วยและการเสียชีวิตจากโรคติดเชื้อได้
“วัคซีนสามารถช่วยชีวิตคนได้ 5 คนทั่วโลกในทุก 60 วินาที เนื่องจากโรคติดเชื้อบางโรคมีอาการรุนแรงซึ่งอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ อีกทั้งโรคบางโรคยังแพร่กระจายไปยังผู้อื่นได้ หากเราป่วยแม้จะมีอาการไม่มาก เชื้อก็ยังสามารถแพร่กระจายไปยังคนรอบข้างได้ ซึ่งถ้าคนเหล่านี้มีโรคประจำตัวอาจทำให้มีอาการรุนแรงได้ นับตั้งแต่เริ่มมีการให้วัคซีนในการป้องกันโรคต่างๆ อายุขัยของคนเพิ่มขึ้นถึง 15-25 ปี และมีแนวโน้มที่จะมีอายุยืนยาวเพิ่มขึ้น” รศ.นพ.ชิษณุ กล่าว
รศ.นพ.ชิษณุ อธิบายเพิ่มเติมว่า คนกลุ่มเสี่ยง เช่น เด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ และคนที่มีโรคประจำตัว อาทิ โรคปอด โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคไต โรคอ้วน วัคซีนจะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคได้ หากคนกลุ่มเสี่ยงป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ จากการรายงานขององค์การอนามัยโลก การที่ผู้สูงอายุได้รับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ จะสามารถลดความรุนแรงของอาการป่วยและภาวะแทรกซ้อนที่สัมพันธ์กับโรคได้ถึงร้อยละ 60 และลดอัตราการเสียชีวิตลงได้ถึงร้อยละ 80
อายุยังมีความสัมพันธ์กับการเลือกฉีดวัคซีน เพราะโรคติดเชื้อแต่ละโรคจะเกิดกับคนในแต่ละวัย จึงแบ่งวัคซีนออกเป็น 3 กลุ่มคือ 1.วัคซีนสำหรับเด็ก 2.วัคซีนสำหรับวัยรุ่นและผู้ใหญ่ และ 3.วัคซีนสำหรับผู้สูงอายุ
ข่าวน่าสนใจ:
สำหรับวัคซีนโควิด-19 อายุที่จะเลือกฉีดวัคซีนก็มีความสำคัญเช่นกัน ในขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลให้ฉีดวัคซีนโควิด-19 ในเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ 18 ปี อาจเพราะเหตุผลสองประการ คือ 1.เด็กที่ติดเชื้อโควิด-19 มักไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย โดยทั่วไปเด็กที่ติดเชื้อโควิดจะมีอาการน้อยกว่าผู้ใหญ่ ซึ่งแตกต่างจากโรคไข้หวัดใหญ่ที่อาการของผู้ป่วยเด็กอาจจะรุนแรงได้
2.วัคซีนโควิด-19 ยังไม่มีการศึกษาในเด็ก เนื่องจากเป็นวัคซีนใหม่ แนะนำสำหรับวัยรุ่นอายุ 18 ปีขึ้นไป ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ รวมถึงผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ยังไม่แนะนำให้ฉีดในเด็ก ที่สำคัญวัคซีนโควิด-19 มีหลายชนิด แต่ละชนิดทำการศึกษาในคนแต่ละกลุ่มแต่ละวัย ทั้งนี้หน่วยงานองค์กรด้านสาธารณสุขของไทยจำเป็นต้องติดตามผลการวิจัยและผลการนำวัคซีนมาใช้อย่างแพร่หลาย เพราะจะทำให้ทราบถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนแต่ละชนิดว่ามีมากน้อยเพียงใด
อย่างไรก็ตาม รศ.นพ.ชิษณุ พันธุ์เจริญ ชี้ว่า การสร้างภูมิคุ้มกันไม่ได้มาจากวัคซีนเพียงอย่างเดียว ทุกคนต้องดูแลรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ กินอาหารเพื่อสุขภาพ ตรวจเช็คร่างกายประจำปี เพื่อลดโอกาสของการติดเชื้อจากโรคต่าง ๆ แต่การที่คนส่วนใหญ่ยังออกนอกบ้าน จึงมีโอกาสเสี่ยงที่จะรับเชื้อและมาแพร่สู่คนที่บ้านและคนใกล้ชิด เพราะไม่สวมหน้ากากอนามัยที่บ้าน ทุกคนยังนั่งกินข้าวร่วมโต๊ะกันโดยไม่ได้เว้นระยะห่าง จึงอยากให้เห็นความสำคัญของการป้องกันตนเองด้วยเกราะป้องกัน 4 ข้ออย่างเคร่งครัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสวมหน้ากากอนามัย การเว้นระยะห่าง การล้างมือ และการหลีกเลี่ยงสัมผัสพื้นผิวสาธารณะและใบหน้า
แต่เกราะป้องกันทั้ง 4 ข้อนี้ อาจยังไม่เพียงพอต่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 หรือโรคติดเชื้ออื่นๆ ได้ จึงเป็นที่มาของการสร้างภูมิคุ้มกันโรคด้วยวัคซีน เป็นอีกทางออกหนึ่งที่คุ้มค่า เมื่อเปรียบเทียบกับค่าใช้จ่ายในการรักษาโรค เพราะ ‘การป้องกันสำคัญกว่าการรักษา’ อีกทั้งการสร้างภูมิคุ้มกันควรเป็นไปอย่างต่อเนื่องในทุกช่วงอายุ เพื่อความมั่นคงทางสุขภาพและเศรษกิจของประเทศ และจะลดภาระด้านงบประมาณค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคได้อย่างมหาศาลอีกด้วย
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: