กรุงเทพฯ – ศบค.แถลง พบผู้ติดเชื้อโควิด สายพันธุ์โอมิครอนเพิ่มอีก 2 คน เป็นหญิงไทยกลับจากไปประชุมที่ประเทศไนจีเรีย ไม่ได้รับวัคซีน และไม่สวมหน้ากากอนามัยขณะร่วมกิจกรรม รักษาหายแล้ว แต่ยังให้กักตัวรอสังเกตอาการอีก 7 วัน
วันนี้ 8 ธันวาคม 2564 แพทย์หญิงสุมณี วัชรสินธุ์ ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ กรมควบคุมโรค แถลงข่าว ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ว่า ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน อีก 2 คน รวมเป็น 3 คน โดยรายแรกรายงานไปแล้วเมื่อวันที่ 6 ธ.ค.2564 เป็นชายอายุ 35 ปี สัญชาติอเมริกัน อาชีพนักธุรกิจ และในวันนี้มีรายงานเพิ่มเข้ามาอีก 2 คน
รายที่ 2 และ รายที่ 3 เป็นหญิงไทย อายุ 46 ปี และ 36 ปี เดินทางไปประชุมคริสตจักร ที่ประเทศไนจีเรีย วันที่ 13-23 พ.ย.2564 มีผู้เดินทางไปด้วยกันทั้งหมด 20 คน เป็นคนไทย 3 คน ชาวต่างชาติอีก 17 คน ส่วนคนไทยอีก 1 คน หลังจากประชุมเสร็จ เดินทางต่อไปยังประเทศสวีเดน ขณะที่ผู้ติดเชื้อทั้ง 2 คน เดินทางกลับประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองได้ตรวจหาเชื้อด้วย RT-PCR ที่ไนจีเรีย เมื่อวันที่ 21 พ.ย. ก่อนจะกลับมาไทย ผลตรวจเป็นลบ (ไม่ติดเชื้อ)
วันที่ 23 พ.ย. เริ่มมีอาการเจ็บคอเล็กน้อยและไอ เมื่อเดินทางกลับมาถึง วันที่ 23 พ.ย. ถูกกักตัว เนื่องจากทั้งสองไม่ได้ฉีดวัคซีนและไม่ได้เดินทางมาจาก 63 ประเทศ เมื่อเข้าสู่ระบบกักตัว ตรวจด้วย RT-PCR ในวันแรกผลเป็นบวกทั้งคู่ จึงย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลจนครบกำหนดเมื่อวันที่ 5 ธ.ค. และนำตัวอย่างตรวจเพิ่มเติม ผลตรวจพบว่ามีความเป็นไปได้สูงมากว่าติดเชื้อโอมิครอน และยังอยู่มีขั้นตอนที่ 3 คือ การถอดรหัสพันธกรรม ซึ่งจะทราบผลภายใน 2-3 วันนี้ จึงให้สังเกตอาการเพิ่มเติมอีก 7 วัน
แพทย์หญิงสุมณี กล่าวต่อว่า กรมควบคุมโรคได้สอบสวนเพิ่มเติม พบว่าทั้งคู่ไปประชุมที่ไนจีเรีย โดยมีการทำกิจกรรมและไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัย ประกอบกับไม่ได้รับวัคซีน จึงทำให้มีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อ ขณะเดียวกัน ยังได้สอบสวนผู้สัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยด้วย
ส่วนหญิงไทยอีกคน ที่เดินทางต่อไปยังสวีเดน ได้สอบไปยังสวีเดนแล้ว ได้รับรายงานว่าผลตรวจเป็นบวก (ติดเชื้อ) เช่นกัน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :
เปิดไทม์ไลน์ ‘ชายไทยสัญชาติอเมริกัน’ ติดสายพันธุ์ ‘โอมิครอน’ แต่ไม่มีอาการ ยัน ยังไม่มีใครติดแล้วตาย
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: