กรุงเทพฯ – โฆษกรัฐบาล ยืนยัน นายกรัฐมนตรีติดตามการดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจใกล้ชิด เพื่อเดินหน้าประเทศพ้นวิกฤตไปให้ได้ รวมถึงดูแลราคาน้ำมันผ่านกองทุนน้ำมันฯ และออกมาตรการรองรับผลกระทบ ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน
วันที่ 8 มีนาคม 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ความเห็นกรณี นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานยุทธศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย ขอให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทบทวนและศึกษา 4 สัญญาณอันตรายทางเศรษฐกิจว่า นายกรัฐมนตรีได้กำกับติดตามการดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลในทุกมาตรการอย่างใกล้ชิด ซึ่งราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นในขณะนี้ ส่งกระทบทั่วโลก ไม่เฉพาะประเทศไทย เมื่อสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างยูเครน-รัสเซีย คลี่คลาย แนวโน้มราคาน้ำมันดิบโลก ก็จะลดลง
ที่ผ่านมา รัฐบาลมีมาตรการดูแลราคาน้ำมันผ่านกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง รวมทั้งปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 3 บาทต่อลิตร มีผลถึง 20 พ.ค.65 ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชนได้ส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังสั่งเตรียมความพร้อมมาตรการต่าง ๆ เพื่อลดผลกระทบที่มีต่อผู้มีรายได้น้อย และเพิ่มอุปสงค์หรือแรงซื้อภายในประเทศ
นายธนกร ชี้แจงถึงราคาสินค้าที่ปรับเพิ่มขึ้นว่า เป็นผลจากการที่ราคาพลังงานเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากภาวะสงครามเป็นสำคัญ โดยรัฐบาลได้มีมาตรการที่จะช่วยลดต้นทุนตั้งแต่ต้นทางรวมทั้งกำกับดูแลกลไก เพื่อให้ปรับเพิ่มราคาสินค้าเหมาะสม ส่วนเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น มาจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นหลัก ซึ่งรัฐบาลได้ลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล คาดว่าจะช่วยบรรเทาสถานการณ์เงินเฟ้อต่อจากนี้
ข่าวน่าสนใจ:
สำหรับข้อห่วงใยที่ว่า สหรัฐฯ ประกาศขึ้นดอกเบี้ยนโยบายและกลัวไทยอาจต้องถูกบังคับให้ขึ้นดอกเบี้ยตาม มิฉะนั้นเงินทุนต่างประเทศอาจจะไหลออกได้นั้น บริบทเศรษฐกิจไทยแตกต่างจากสหรัฐฯ ซึ่งเศรษฐกิจสหรัฐฯ ฟื้นตัวแล้ว ทำให้ต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจ ขณะที่เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว จึงไม่มีแรงกดดันเหมือนหลายประเทศ ซึ่งไทยจะใช้นโยบายการเงิน-การคลัง ที่เอื้อต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจต่อไป
ส่วนการขาดดุลการค้าของไทย มาจากปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด เพราะราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้การนำเข้าพลังงานในมูลค่าที่เพิ่มขึ้นด้วย ทั้งนี้ ข้อมูลจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพบว่า แนวโน้มการส่งออกที่ขยายตัวได้ดี ส่งผลให้มีแนวโน้มการนำเข้าวัตถุดิบ สินค้าสำเร็จรูปและสินค้าทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ประเทศไทยจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ตามการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดปรับตัวดีขึ้นได้
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า นายกรัฐมนตรียังได้กำหนดกรอบมาตรการดูแลและเยียวยา เพื่อรองรับผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่มีต่อประเทศไทย โดยมุ่งเน้นเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบ ดังนี้
1.ดูแลค่าใช้จ่ายเพื่อการดำรงชีพของกลุ่มเปราะบาง
2.เพิ่มอุปสงค์ด้านการท่องเที่ยวภายในประเทศแทนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อาจลดลง
3.ดูแลให้ภาวะการเงินโดยรวมยังคงผ่อนคลายเพื่อรองรับความผันผวนในตลาดการเงินโลกและเอื้อต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจไทยไม่ให้สะดุด
4.ดูแลระบบการชำระเงินและระบบสถาบันการเงิน ให้สามารถทำงานได้ตามปกติและสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้อย่างราบรื่น
5.มาตรการรองรับด้านตลาดทุนเพื่อสร้างความมั่นใจว่าตลาดทุนยังทำงานได้เป็นปกติ
“ภาวะเศรษฐกิจปี 2565 ยังมีปัจจัยเสี่ยง ทั้งแนวโน้มภาวะเงินเฟ้อที่ขยับสูงขึ้น การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐอเมริกา รวมถึงปัญหารัสเซียกับยูเครน ผสมผสานกับปัจจัยเสี่ยงหลักที่มีมาแต่เดิมจากปี 2564 คือ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นต้น ซึ่งท่านนายกฯ ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ติดตามทุกปัจจัยที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย เตรียมแผน/มาตรการรองรับผลกระทบอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้น เพื่อดำเนินมาตรการทางเศรษฐกิจในการดูแลประชาชนคนไทยอย่างเต็มที่ พร้อมย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการต่าง ๆ อย่างรอบด้าน เพื่อเดินหน้าประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจไปให้ได้” นายธนกร กล่าวปิดท้าย
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: