กรุงเทพฯ – หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) เร่งเดินหน้าร่วมสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ เสริมพลังความรู้แก้ความยากจน ตั้งเป้าปี 2565 ต่อยอดให้คนจนช่วยเหลือตัวเองได้เพิ่มขึ้น 40,000 คน ตามโครงการ 20 อำเภอแก้จน ใน 20 จังหวัดต้นแบบ พร้อมสร้างตำบลเข้มแข็ง 300 แห่ง และกลุ่มธุรกิจท้องถิ่น 200 กลุ่ม
วันที่ 9 พฤษภาคม 2565 นายกิตติ สัจจาวัฒนา ผู้อำนวยการหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.) ระบุว่า บพท.กำหนดกลยุทธ์ส่งเสริมงานวิจัยเพื่อแก้ปัญหาความยากจนให้เป็นวาระสำคัญ ตอบรับกับความต้องการของประเทศและสังคม ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างมากจากการระบาดของโควิด-19 และแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจ นื่องมาจากวิกฤตความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน โดยกำหนดให้งานวิจัยมีความเข้มข้นมากขึ้น เพื่อรับมือกับปัญหาวิกฤตซ้อนวิกฤตที่เป็นอยู่
แต่นอกจากการให้ความช่วยเหลือคนยากจนให้เข้าถึงสวัสดิการแล้ว จะต้องต่อยอดงานเดิมให้ชุมชนเกิดความเข้มแข็ง สามารถพึ่งตนเองได้ยั่งยืนในระยะต่อไป
2 ปีที่ผ่านมา บพท.ร่วมกับภาคีเครือข่ายมหาวิทยาลัยและชุมชน ค้นพบประชาชนยากจนที่เข้าไม่ถึงสวัสดิการของรัฐ กว่า 850,000 คน และส่งเข้าระบบสวัสดิการแล้วกว่า 550,000 คน
ปีนี้ บพท.จัดทำโครงการ 20 อำเภอแก้จนขึ้น เพื่อยกระดับการแก้ปัญหาความยากจนให้มีคุณภาพและประสิทธิภาพดีขึ้น สนับสนุนให้คนจนหลุดพ้นจากความยากจนอย่างยั่งยืน
นายกิตติ สัจจาวัฒนา กล่าวต่อว่า จากการค้นหาผู้ยากจนดังกล่าว ทำให้ บพท.สามารถพัฒนาระบบข้อมูลครัวเรือนยากจนระดับพื้นที่ ขึ้นมาเป็นเครื่องชี้วัดความยากจนหลากมิติ ได้แก่ ด้านทุนมนุษย์ ทุนเศรษฐกิจ ทุนธรรมชาติ ทุนกายภาพ และทุนสังคม เพื่อช่วยออกแบบการแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับสถานะความยากจนรายครัวเรือน
อย่างไรก็ตาม บพท.ไม่ได้จะมุ่งหาคนจนไปรับสวัสดิการ แต่ต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตของพวกเขา จึงมีโครงการ 20 อำเภอตามไป โดยตั้งเป้าหมายว่าจะใช้งานวิจัยพาเขาก้าวต่อไปจนหลุดจากความยากจน ซึ่งที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าได้ผลดี
ทบพท.กำหนดเป้าหมายโครงการ 20 อำเภอ 20 โมเดล แก้จนใน 20 จังหวัด จะครอบคลุมคนจนอย่างน้อย 40,000 คน ให้ได้รับความช่วยเหลือผ่านกระบวนการเชิงนวัตกรรม ได้รับการถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ในการพัฒนาอาชีพ และเพิ่มรายได้
ผู้อำนวยการ บพท. เปิดเผยต่อว่า นอกจากการแก้ปัญหาความยากจนเบ็ดเสร็จแม่นยำแล้ว บพท.ยังร่วมงานวิจัยกับสถาบันการศึกษาในด้านอื่น ๆ ตามยุทธศาสตร์สำคัญสามด้าน คือ
1.ยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากด้วยการพัฒนาคนและกลไกจากฐานทุนทรัพยากรพื้นถิ่นและทุนทางวัฒนธรรม
2.ยุทธศาสตร์พัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อขจัดความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำ
3.ยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองน่าอยู่และเมืองแห่งการเรียนรู้
นอกจากเป้าหมายตามโครงการ 20 อำเภอแก้จนแล้ว บพท.ยังส่งเสริมงานวิจัยในที่อื่น ๆ กว่า 60 จังหวัด พร้อมเป้าหมายจะพัฒนา 300 ตำบลนวัตกรรมพึ่งตนเอง และผู้ประกอบการธุรกิจชุมชนเพิ่มขึ้นอีก 300 กลุ่ม เป็นต้น
“งานของ บพท.ไม่ใช่งานพัฒนาชนบท แต่เป็นการส่งเสริมการพัฒนาชนบทและเมืองด้วยงานวิชาการ ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพของประเทศในการแก้ปัญหา โดยเน้นความร่วมมือจากในพื้นที่ที่มีปัญหาเป็นหลัก เราจึงส่งเสริมนวัตกรรมในหลายมิติที่สามารถต่อยอดได้ ทั้งเรื่องทุนวัฒนธรรม ธุรกิจชุมชน” นายกิตติ กล่าว
ทั้งนี้ ปี 2564 บพท.กับ 99 สถาบันการศึกษา ได้พัฒนาพื้นที่ต่าง ๆ จนสามารถสร้างวิสาหกิจเชิงวัฒนธรรม 6,000 ราย สร้างนวัตกรรมพร้อมใช้ 763 นวัตกรรม พัฒนาให้เกิดธุรกิจชุมชน 995 กลุ่ม และพัฒนาให้เกิดชุมชนนวัตกรรม 546 ชุมชน ใน 48 จังหวัด ครอบคลุม 276 อำเภอ
ในด้านความรู้ มีนวัตกรชาวบ้านเกิดขึ้นกว่า 2,700 คน ที่จะเป็นผู้นำการพัฒนาต่อไป ตลอดจนงานพัฒนาเมืองเพื่อสร้างสังคมน่าอยู่รองรับอนาคตจนเกิดบริษัทพัฒนาเมืองขึ้น 20 แห่ง ความรู้ในการบริหารจัดการเชิงพื้นที่ 16 ชุด แนวทางการลงทุนระดับพื้นที่ 5 พื้นที่ และหลักสูตรที่สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่ 20 หลักสูตร
สำหรับ 20 จังหวัดต้นแบบ ที่เป็นเป้าหมายการยกระดับการแก้ปัญหาความยากจนแบบเบ็ดเสร็จและแม่นยำในปี 2565 ประกอบด้วย กาฬสินธุ์ ชัยนาท ปัตตานี มุกดาหาร แม่ฮ่องสอน ยโสธร ศรีสะเกษ สกลนคร สุรินทร์ อำนาจเจริญ บุรีรัมย์ นครราชสีมา เลย ร้อยเอ็ด ลำปาง พิษณุโลก พัทลุง ยะลา นราธิวาส และอุบลราชธานี
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: