กรุงเทพฯ – กรมควบคุมโรค ชี้ สถานการณ์โควิดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ผู้ติดเชื้อและป่วยหนักส่วนใหญ่อยู่ในเขตเมือง กทม. ปริมณฑล จังหวัดท่องเที่ยว ห่วงหยุดยาวเชื้อกระจายไปต่างจังหวัด ย้ำ เข้มมาตรการ 2U ส่วนกลุ่ม 608 ขอให้ฉีดวัคซีนกระตุ้นทุก 3-4 เดือน หากติดเชื้อควรรีบพบแพทย์
วันที่ 11 กรกฎาคม 2565 นายแพทย์จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค แถลงว่า สถานการณ์โรคโควิด-19 ของประเทศไทย ในช่วง 14 วันที่ผ่านมา พบการติดเชื้อและเสียชีวิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนผู้ป่วยปอดอักเสบและใส่ท่อช่วยหายใจเพิ่มขึ้นชัดเจนในบางจังหวัดที่มีการติดเชื้อมาก คือ กรุงเทพมหานคร ปริมณฑลและจังหวัดท่องเที่ยวขนาดใหญ่ โดยปอดอักเสบเพิ่มจาก 638 ราย เป็น 786 ราย และใส่ท่อช่วยหายใจเพิ่มขึ้นจาก 290 ราย เป็น 349 ราย แต่ทั้งหมดยังอยู่ในเกณฑ์ที่ระบบสาธารณสุขรองรับได้ ประกอบกับมีการคืนเตียงผู้ป่วยโควิดไปใช้รักษาโรคอื่น ทำให้อัตราครองเตียงเพิ่มขึ้น
นพ.จักรรัฐ กล่าวต่อว่า ช่วงวันหยุดยาวอาจเป็นปัจจัยหนึ่ง ที่ทำให้เกิดการแพร่เชื้อไปต่างจังหวัดเร็วขึ้น จึงต้องช่วยกันชะลอการแพร่เชื้อ เพราะหากมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเร็ว จะมีผู้ที่ปอดอักเสบเพิ่มขึ้นตามไปด้วย และอาจจะกระทบต่อเตียงหรือยาที่ใช้ในการรักษาได้
สัญญาณที่ทำให้ต้องมีการแจ้งเตือนและปรับเพิ่มมาตรการ คือ 1.ผู้ป่วยรายใหม่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเกิน 4,000 คนต่อวัน อาจต้องให้ใส่หน้ากาก 100% หรือเว้นระยะห่างมากขึ้น 2.ผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจเพิ่มขึ้นเป็น 400-500 คนต่อวัน อาจต้องปรับมาตรการการรักษาและให้ยาเร็วขึ้น และ 3.ผู้เสียชีวิตเกิน 40 คนต่อวัน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังคงระดับการเตือนภัยระดับ 2
ข่าวน่าสนใจ:
ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ยังขอความร่วมมือประชาชนป้องกันตนเอง โดยใช้มาตรการ 2U ได้แก่ Universal Prevention คือ มาตรการป้องกันโรคส่วนบุคคล และ Universal Vaccination คือ การฉีดวัคซีนโดยยังสามารถทำกิจกรรมรวมกลุ่มได้ เช่น การทำกิจกรรมทางศาสนา แต่ให้เว้นระยะห่าง สวมหน้ากากตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อใช้บริการขนส่งสาธารณะ อยู่ใกล้กลุ่มเสี่ยง 608
หากผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยง 608 มีอาการป่วย ผลตรวจ ATK เป็นบวก ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับยา จะช่วยลดความเสี่ยงการป่วยหนักได้
จากการวิเคราะห์ข้อมูลผู้เสียชีวิต ช่วงวันที่ 3-9 กรกฎาคม 2565 จำนวน 132 คน เป็นกลุ่ม 608 ถึง 97% และส่วนใหญ่ไม่รับวัคซีน หรือไม่ได้รับเข็มกระตุ้น ผู้มีโรคประจำตัวที่เสี่ยงเสียชีวิตสูง คือ โรคไตเรื้อรัง มะเร็ง อ้วน หลอดเลือดสมอง และหลอดเลือดหัวใจ ประกอบกับช่วงนี้มีการระบาดมากขึ้นของสายพันธุ์ BA.4/BA.5 และมีโอกาสสูงที่จะติดเชื้อซ้ำ จึงขอให้มารับวัคซีนเข็มกระตุ้น โดยเฉพาะกลุ่ม 608 ผู้ป่วยกลุ่มอื่น ๆ และผู้ดูแลใกล้ชิดผู้ป่วย ควรมารับเข็มกระตุ้นทุก 3-4 เดือน เพราะหากเกินช่วงเวลาดังกล่าวภูมิคุ้มกันอาจไม่เพียงพอ ทำให้ป่วยหนักได้
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: