กรุงเทพฯ – กรมควบคุมโรค เตือนกลุ่ม 608 และกลุ่มเด็กเล็กที่มีโรคประจำตัว เร่งฉีดวัคซีนโควิด ลดความเสี่ยงป่วยรุนแรง คาด ผู้ป่วยอาการหนักจะเพิ่มขึ้นได้ในอีก 2-4 สัปดาห์ข้างหน้า
นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยสถานการณ์โรคโควิด-19 ประเทศไทย สัปดาห์ที่ 45 มีแนวโน้มพบผู้ติดเชื้อ และผู้ป่วยนอนรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 12.8 เปรียบเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า ขณะที่ผู้ป่วยอาการหนักเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ส่วนผู้ป่วยเสียชีวิตยังมีแนวโน้มคงตัว ซึ่งเป็นไปตามการคาดการณ์ ในช่วงเริ่มต้นการระบาดครั้งใหม่ ที่มีลักษณะเป็น Small wave หลังจากการปรับให้โรคโควิด-19 เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565
จากการเฝ้าระวังสถานที่เสี่ยงใน 8 จังหวัด เริ่มพบผู้ป่วยที่มารับการรักษาในโรงพยาบาลเพิ่มขึ้น ทั้งในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล รวมทั้งจังหวัดท่องเที่ยว โดยเฉพาะภาคตะวันออกและภาคใต้ ซึ่งส่วนใหญ่รับนักท่องเที่ยวทั้งคนไทยและต่างชาติเพิ่มขึ้น มีการจัดกิจกรรมที่มีคนรวมตัวกันจำนวนมากขึ้นด้วย
ผู้ป่วยอาการหนักใส่ท่อช่วยหายใจและผู้เสียชีวิต ในรอบสัปดาห์ที่ 45 (วันที่ 6-12 พฤศจิกายน 2565) มากกว่าครึ่ง เป็นผู้ที่ไม่รับวัคซีนโควิด-19 และไม่ได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น ทำให้ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อโรค หากติดเชื้อมีโอกาสป่วยหนักได้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงวัยและผู้ที่มีโรคประจำตัว
ข่าวน่าสนใจ:
- ศึกษาธิการระยอง จับมือเทคนิคระยอง และศูนย์การค้าเซ็นทรัลระยอง จัดกิจกรรมโครงการเรียนดี มีความสุขสู่อนาคตที่สดใส
- สงขลา"นทท.มาเลย์ฯเที่ยวไทยเเน่น"รับปิดเทอมและปีใหม่ คาดเงินสะพัดในสงขลานับพันล้านบาท
- นครฯ - ลือหึ่ง แรงงานกว่าครึ่งร้อยโรงไม้ยางเมืองคอน เสี่ยงตกงาน! หวั่นชวดชดเชย
- พะเยา หนุ่มขโมยย่องฉกเงินร้านข้าวมันไก่ 3 ครั้งเจ้าของสุดทนแจ้งตรจับ
ด้านนายแพทย์โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค เสริมว่า กลุ่ม 608 ที่เริ่มมีอาการป่วย ทั้งมีไข้ ไอ และ ATK พบเชื้อ ให้รีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาโรคโดยเร็ว แพทย์อาจพิจารณาให้ LAAB (ภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป) โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน หรือผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวที่อาจจะสร้างภูมิคุ้มกันจากวัคซีนได้น้อย
คำแนะนำในช่วงนี้ ผู้สูงอายุที่ไม่ได้รับวัคซีนงดออกจากบ้าน และสมาชิกในครอบครัวที่เป็นกลุ่มวัยทำงาน มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสผู้ติดเชื้อนอกบ้าน เช่น ไปสถานบันเทิง ให้งดใกล้ชิดผู้สูงอายุ และพาพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ลุงป้า น้า อา ในบ้าน รวมทั้งเด็กเล็ก เด็กนักเรียน เข้ารับการฉีดวัคซีน ทั้งเข็มแรก หรือเข็มกระตุ้นหากได้รับเข็มสุดท้ายมานานเกิน 4 เดือน เพื่อลดความเสี่ยงต่อการป่วยหนัก และลดระยะเวลาการรักษาโรค ที่พ่อแม่ผู้ปกครอง หรือญาติต้องลางานเพื่อดูแลรักษาด้วย
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: