กรุงเทพฯ – การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) แจง แม้มีภารกิจสำคัญในการรักษาความมั่นคงระบบไฟฟ้าของประเทศ แต่สัดส่วนกำลังผลิตไฟฟ้าเหลือเพียง 34 % ยืนยัน ไม่มีกำไรจากการรับซื้อและขายไฟฟ้าจากเอกชน ซึ่งถูกกำกับดูแลโดย กกพ. ปี 2564 มีกำไรสุทธิเพียง 2.5 หมื่นล้านบาท และ 57% นำส่งเข้ารัฐ
วันที่ 16 ธันวาคม 2565 นายประเสริฐศักดิ์ เชิงชวโน รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ ในฐานะโฆษกการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ชี้แจงข่าวที่สื่อมวลชนบางฉบับระบุว่า กฟผ. เป็นผู้ผูกขาดอุตสาหกรรมไฟฟ้าไทย โดยมีกำไรจากการขายไฟฟ้า มากกว่าผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ 12 รายรวมกัน ว่า
ข้อความดังกล่าวไม่มีมูลความจริง เนื่องจากกำลังผลิตไฟฟ้าของ กฟผ. ณ เดือนตุลาคม 2565 มีกำลังผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวม 16,920.32 เมกะวัตต์ (MW) คิดเป็น 34.44% ของกำลังผลิตไฟฟ้าตามสัญญาในระบบไฟฟ้า อีกทั้งตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ.2561-2580 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 ในปี 2580 กฟผ. จะมีกำลังผลิตไฟฟ้าตามสัญญาเหลือเพียง 18,614 MW คิดเป็น 24%
อย่างไรก็ตาม กฟผ. มีภารกิจหลักสำคัญที่สุด คือ การดูแลความมั่นคงระบบไฟฟ้าของประเทศ ดังเช่นที่ผ่านมา โรงไฟฟ้าของ กฟผ. ได้ทำหน้าที่สำคัญในการนำระบบไฟฟ้ากลับคืนสู่ภาวะปกติ (Blackout Restoration Plan) เช่น เหตุการณ์ไฟฟ้าดับ เมื่อปี 2561 จากการหยุดเดินเครื่องของโรงไฟฟ้าหงสา
ข่าวน่าสนใจ:
รวมถึงยังเป็นกลไกสำคัญของรัฐ ในการขับเคลื่อนนโยบายด้านเศรษฐกิจพลังงานสำคัญเร่งด่วน เพื่อดูแลประชาชนให้มีไฟฟ้าใช้อย่างเพียงพอ มั่นคง อาทิ ช่วงวิกฤตพลังงานของประเทศใน 2 ปีนี้ กฟผ. ปรับเปลี่ยนเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า มาใช้เชื้อเพลิงประเภทน้ำมัน ได้แก่ น้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาทดแทน LNG ที่มีราคาสูง การนำโรงไฟฟ้าแม่เมาะเครื่องที่ 4 กลับมาผลิตไฟฟ้า และเลื่อนการปลดโรงไฟฟ้าแม่เมาะเครื่องที่ 8 ออกไป จนถึงวันที่ 31 ธ.ค.2568 เนื่องจากโรงไฟฟ้าแม่เมาะใช้ถ่านหินในประเทศซึ่งเป็นเชื้อเพลิงราคาถูกเพื่อช่วยพยุงค่าไฟฟ้า ลดภาระค่าครองชีพของประชาชน
นายประเสริฐศักดิ์ เชิงชวโน ชี้แจงต่อว่า สำหรับระบบส่งไฟฟ้า กฟผ. ยังจำเป็นต้องดูแล เพื่อให้เกิดความมั่นคงในการจ่ายไฟฟ้าได้ทั่วประเทศ ทำให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารสัญญาซื้อขายไฟฟ้า และสั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้าของ ศูนย์ควบคุมระบบกำลังผลิตไฟฟ้าแห่งชาติ ซึ่งต้องปฏิบัติตาม พระราชบัญญัติประกอบกิจการพลังงานปี 2550 เพื่อให้เกิดการสั่งเดินเครื่องโรงไฟฟ้าอย่างเป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติ
ส่วนการรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชน กฟผ. เป็นเพียงผู้ปฏิบัติตามนโยบายที่ภาครัฐกำหนด โดยอัตราค่าไฟฟ้าที่ กฟผ. รับซื้อไฟฟ้าจากเอกชนและขายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายจำหน่ายต้องผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.)
สำหรับประเด็นที่ระบุว่า กฟผ. มีกำไรจากการขายไฟฟ้า มากกว่าผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ 12 รายรวมกันนั้น เป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน กำไรจากการดำเนินงานประมาณ 59,000 ล้านบาท ที่สื่อมวลชนหยิบยกมา เป็นกำไรขั้นต้น ที่บวกรวมการขายสินค้าและบริการอื่น และยังหักต้นทุนไม่ครบ โดยปี 2564 กฟผ. มีกำไรสุทธิเพียง 25,771 ล้านบาท และนำส่งเงินรายได้เข้ารัฐ 17,426 ล้านบาท หรือคิดเป็น 57% ของกำไร กำไรส่วนที่เหลือก็นำไปลงทุนในระบบไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและส่งไฟฟ้าของประเทศ ให้มีความมั่นคงทางพลังงานเพื่อลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาล
โฆษก กฟผ. ยืนยันว่า กำไรสะสมของ กฟผ. จำนวน 3.96 แสนล้านบาท ที่ปรากฎในงบแสดงฐานะทางการเงินนั้น มิใช่เงินสด เป็นเพียงการแสดงตัวเลขสะสมของมูลค่าสินทรัพย์ที่ กฟผ. นำกำไรส่วนที่เหลือจากการนำส่งกระทรวงการคลังในแต่ละปี ไปลงทุนในรูปของสินทรัพย์ที่ใช้ผลิตและส่งไฟฟ้าให้แก่ประชาชน อาทิ โรงไฟฟ้า สถานีส่งไฟฟ้า สายส่งไฟฟ้า นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งกิจการในปี 2512-2564 จึงไม่สามารถนำกำไรสะสมดังกล่าว มาใช้สำหรับการช่วยเหลือค่าไฟฟ้าได้
“กฟผ. ตระหนักดีว่า กฟผ. เป็นองค์กรรัฐวิสาหกิจจึงมิได้มุ่งแสวงหากำไรจากการดำเนินงาน โดยราคาค่าไฟฟ้าและกำไรของ กฟผ. ถูกกำกับโดย กกพ. ให้มีรายได้เพียงพอต่อการลงทุนและบริหารกิจการเท่านั้น รวมถึงต้องนำส่งกระทรวงการคลังเป็นเงินรายได้แผ่นดินเพื่อนำไปใช้พัฒนาประเทศด้านอื่น ๆ สำหรับในช่วงวิกฤตพลังงานที่ต้องเผชิญกับความยากลำบาก กฟผ. มิได้นิ่งนอนใจ และร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าอย่างเต็มกำลังเพื่อแบ่งเบาภาระของประชาชน” นายประเสริฐศักดิ์ กล่าว
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: