กรุงเทพฯ – สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชี้แจงหลายข้อสงสัย ระบุ บัตรเลือกตั้งล่วงหน้ายังไม่นับคะแนน จะรู้ได้อย่างไรว่าคะแนนเป็นของใคร ยืนยัน เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง ลงนามหน้าปกเล่มบัตรตามกฎหมาย ไม่ใช่กากบาทลงคะแนนแทนประชาชน
วันที่ 11 พฤษภาคม 2566 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชี้แจงผ่านเพจเฟซบุ๊ก ตามที่ปรากฏภาพข่าวและคลิปวิดีโอ เผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ ให้ประชาชนผู้ได้พบเห็นเข้าใจผิดว่า เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง ได้นำบัตรเลือกตั้งมาทำเครื่องหมายกากบาทลงในบัตรเลือกตั้งนั้น
กกต.ขอชี้แจงว่า ภาพข่าวและคลิปวิดีโอที่นำมาเผยแพร่ เป็นการลงนามหน้าปกเล่มบัตรเลือกตั้ง ก่อนส่งมอบให้กับ กปน.(กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้ง) ขอยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ไม่ได้ทำเครื่องหมายกากบาทลงในบัตรเลือกตั้ง แทนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ทั้งสิ้น
ภาพข่าวและคลิปวิดีโอดังกล่าวเป็นการดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบที่กำหนดทุกประการ จึงขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อในภาพที่ปรากฏและคลิปวิดีโอ ที่มีผู้ไม่หวังดีนำเสนอในสื่อสังคมออนไลน์
พร้อมเตือนว่า ผู้ใดแชร์ข่าวดังกล่าวด้วยวิธีการกดไลก์ กดแชร์ รีทวิต รีโพสต์ ทางยูทูบ ทางติ๊กต๊อก ส่งต่อทางไลน์ไปยังกลุ่มต่าง ๆ หรือช่องทางสื่อสารอื่น ๆ จะมีความผิดตาม พระราชบัญญัติการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ.2560 มาตรา 14 จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ยังไม่นับคะแนน จะรู้ได้อย่างไรว่าคะแนนเป็นของใคร
กกต.ยังชี้แจงกรณี นายสมภพ รัตนวลี ผู้อำนวยการฝ่ายข่าวเวิร์คพอยท์ แสดงความเห็นทางแอปพลิเคชัน TikTok ว่า “คนที่เค้าไปเลือกที่จังหวัดเค้า แต่คะแนนกลับโผล่จังหวัดนนทบุรี แล้วกาจากพรรคหนึ่งกลายเป็นอีกพรรคหนึ่ง ขั้วตรงข้ามกันเลย แล้วเป็นอย่างนี้อีกหลายคน กกต.ออกมายอมรับแล้ว อ้างว่าเจ้าหน้าที่ผิดพลาด” นั้น ข้อความดังกล่าวเป็นความเท็จทั้งสิ้น
เนื่องจากยังไม่มีการนำบัตรมานับคะแนน จึงไม่อาจทราบว่าคะแนนเป็นของผู้สมัครคนใด ข้อกล่าวอ้างดังกล่าวจึงเป็นความเท็จ และเหตุการณ์ดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้นจริง ในการเลือกตั้งนอกเขตเลือกตั้งของจังหวัดนนทบุรี ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ
พร้อมเตือนว่า ผู้ใดแชร์ข่าวดังกล่าวด้วยวิธีการกดไลก์ กดแชร์ รีทวิต รีโพสต์ ทางยูทูบ ทางติ๊กต๊อก ส่งต่อทางไลน์ไปยังกลุ่มต่างๆ หรือช่องทางสื่อสารอื่นๆ จะมีความผิดตาม พ.ร.บ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์พ.ศ.2560 มาตรา 14 จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
