กรุงเทพฯ – นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ แต่ยินดีช่วยเหลือพรรคต่อไป ยืนยันไม่ไปสังกัดพรรคอื่น ด้านนายสาธิต ปิตุเตชะ ประกาศลาออกตาม ด้วยเหตุผล 4 ข้อ ชี้ อาจมีคนลาออกอีก
วันที่ 9 ธันวาคม 2566 ระหว่างพักการประชุมใหญ่วิสามัญ พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเลือกหัวหน้าพรรคคนที่ 9 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งได้รับการเสนอชื่อจาก นายชวนหลีกภัย ส.ส.บัญชีรายชื่อ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ได้พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รักษาการหัวหน้าพรรค เป็นเวลา 10 นาที
หลังการพูดคุย นายอภิสิทธิ์ แจ้งต่อที่ประชุมพรรคว่า จากการพูดคุยเข้าใจตรงกันทุกอย่าง ขอถอนตัวจากการชิงตำแหน่ง และขอลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมยืนยันว่าจะไม่ไปร่วมงานกับพรรคอื่น ทั้งยินดีที่จะให้ความช่วยเหลือพรรคประชาธิปัตย์ต่อไป
“กรีดเลือดออกมาก็เป็นสีฟ้า ผมเป็นลูกพระแม่ธรณี รับใช้บ้านเมือง ถ้าช่วยพรรคในวันข้างหน้าได้ผมไม่ปฏิเสธ หวังว่าผู้บริหารชุดใหม่จะทำงานได้สำเร็จตามที่ นายเฉลิมชัยได้กล่าวไว้กับผม” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
‘สาธิต’ ขอเฝ้าดูผู้บริหารชุดใหม่ จะพาพรรคไปสู่จุดไหนนายสาธิต ปิตุเตชะ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงลาออกจากสมาชิกพรรคด้วยเหตุผล 4 ข้อ ดังนี้
1.สถานการณ์ของพรรคมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงอุดมการณ์เป็นอย่างมาก และจากที่มาร่วมประชุมรู้สึกว่าเป็นการประชุมเลือกตั้งหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคเหมือนกับรู้ผลมาก่อนล่วงหน้า เพราะฉะนั้นทิศทางและแนวทางทางการเมืองของพรรคที่ผ่านมาจนมาถึงวันนี้
ตนเองเห็นว่าละทิ้งอุดมการณ์ของพรรค จะเห็นได้จากเหตุการณ์การจัดตั้งรัฐบาลที่ผ่านมามีการไปลงมติให้นายเศรษฐา ทวีศิลป์ เป็นนายกฯ ทั้งที่พรรคมีมติแล้วว่าให้งดออกเสียง นั่นคือความชัดเจนว่าทิศทางของพรรคในเชิงอุดมการณ์การเปลี่ยนแปลง
2.มีคนกลุ่มหนึ่งในพรรคประชาธิปัตย์ให้ความสำคัญกับคำว่าพรรคพวก มากกว่าจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจน และมากกว่าอุดมการณ์ที่มีมาอย่างยาวนานของพรรค เราอาจจะเห็นทิศทางของการนำพาพรรคทางการเมืองในอนาคตอย่างชัดเจน ว่าจะเป็นอย่างไร เพราะปราศจากจุดยืนทางการเมือง
3.ทิศทางของพรรคประชาธิปัตย์ไม่เปิดโอกาสให้ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ทั้งที่ในที่ประชุมมีผู้เสนอตัวลงสมัครหัวหน้าพรรค โดยต้องใช้การงดเว้นข้อบังคับโดยใช้เสียง 3 ใน 4
แต่ปรากฏว่าไม่ให้ลงสนามเลือกตั้ง เพราะฉะนั้นจึงถือว่าการเปลี่ยนแปลงของพรรคไม่เป็นไปในทิศทางที่มีจุดยืนทางการเมืองที่ชัดเจน แต่ใช้ความเป็นพรรคพวกมาตัดสินทุกเรื่องในการนำพาพรรค
4.คนที่จะมานำพาพรรคไม่รักษาสัจจะวาจา อย่าว่าแต่เป็นผู้บริหารพรรคเลย เป็นนักการเมืองก็เป็นไม่ได้ เพราะคำพูดและสัจจะที่เราให้ไว้กับประชาชนในที่สาธารณะเปรียบเสมือนนโยบายที่ต้องรักษา นักการเมืองที่ดีต้องพึ่งรักษา
ดังนั้น ถ้านักการเมืองที่มีคุณสมบัติแบบนี้มานำพาพรรค ผมเห็นว่าทิศทางในอนาคตของพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะถูกประชาชนลงโทษ จึงตัดสินใจลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ตลอดเวลา 13 ปีที่ผ่านมามีความผูกพันกับพรรค และจะดูว่าคนที่จะบริหารพรรคจะนำพาพรรคไปสู่จุดไหนและจะติดตามเฝ้าดู ถ้ามีโอกาสก็พร้อมจะกลับมาร่วมงานกับเพื่อนสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ในโอกาสครั้งต่อไป นายสาธิตกล่าว
ส่วนหลังจากนี้จะไปทำงานเมืองพรรคการเมืองไหน นายสาธิต ระบุว่า ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะไปอยู่พรรคไหน แต่วันนี้ตัดสินใจลาออกจากสมาชิกพรรค ปชป. ซึ่งการลาออกครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจของตัวเองคนเดียว ไม่ได้ชวนใคร แต่คิดว่าจะมีเพื่อนร่วมอุดมการณ์
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: