กรุงเทพฯ – ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เผย 6 ศพ เสียชีวิตโรงแรมหรู อยู่ในห้องเดียวกัน ไม่พบการประทุษร้าย มีร่องรอยการดื่มชา แต่ไม่แตะอาหาร แพ็กกระเป๋าเตรียมตัวเช็กเอาต์
วันที่ 16 กรกฎาคม 2567 ที่โรงแรม แกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล แถลงกรณีพบศพชาวเวียดนาม 6 ศพ ภายในโรงแรมว่า ผู้เสียชีวิตเป็นชาย 3 ศพ และหญิง 3 ศพ ทั้งหมดเสียชีวิตอยู่ในห้องเดียวกัน โดยอยู่บริเวณโซนรับแขกด้านหน้า 4 ศพ อีก 2 ศพพบในห้องนอน
ทั้งหมดเดินทางเข้ามาเช็กอินที่โรงแรมไม่พร้อมกัน ชุดแรก เข้าวันที่ 13 ก.ค. และ 14 ก.ค.อีก 1 ชุด พักอยู่ที่ชั้น 7 ทั้งหมด 4 ห้อง และชั้น 5 อีก 1 ห้อง ที่เป็นชาวเวียดนาม สัญชาติอเมริกัน 2 คน รวม 5 ห้อง ทั้งหมดต้องเช็กเอาต์วันที่ 15 ก.ค.
แต่ไม่มีการเช็กเอาต์ แม่บ้านจึงเข้าไปตรวจดูที่ชั้น 5 พบประตูถูกล็อกจากด้านใน ไม่สามารถเข้าไปได้ จึงเข้าทางประตูหลัง ถึงพบมีผู้เสียชีวิตในห้อง จึงรีบแจ้งผู้บริหาร และแจ้งไปยังสถานีตำรวจนครบาลลุมพินี ต่อมา เวลา 17.00 น. ฝ่ายสืบสวนมาถึงที่เกิดเหตุ และสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (สพฐ.) เก็บสิ่งของทั้งหมดในห้องไปตรวจสอบ
ไม่แตะอาหาร แต่พบการดื่มชาพร้อมอุปกรณ์ เตรียมเช็กเอาต์
พล.ต.ท.ธิติ แถลงอีกว่า จากการตรวจที่เกิดเหตุ พบว่า 4 ห้องที่พักชั้น 7 ที่ต้องเช็กเอาต์ เมื่อบ่ายวาน ได้เก็บกระเป๋านำมารวมที่ห้องชั้น 5 จึงสันนิษฐานว่า ผู้ตายต้องรู้จักกัน เพราะขนกระเป๋าไปรวมกัน แต่ไม่ได้เดินทางออกไป เพราะผู้ที่นัดหมายให้มารับ ไม่พบตัว และไม่ได้ชำระค่าใช้จ่าย
คาดว่าเสียชีวิตหลังเวลา 13.53 น. วันที่ 15 ก.ค. เพราะอาหารที่สั่งมา ซึ่งเป็นอาหารจานเดี่ยว 6 จาน และกับข้าว ยังไม่ได้รับประทาน วางอยู่ในห้องรับแขก นอกจากนี้ ยังมีถ้วยชา/กาแฟ ลักษณะคล้ายการผสมเครื่องดื่ม วางอยู่ที่จัดเตรียม 5 ถ้วย และที่โต๊ะอาหาร มีเศษตกค้างก้นถ้วย
จากการตรวจสอบ ยังพบกระปุกชา ลักษณะคล้ายชาอู่หลง พร้อมน้ำเกลือแร่ 1 ขวด น้ำเปล่า 1 ขวด ทั้ง 3 ชิ้นถูกเปิดใช้แล้ว รวมถึงพบวัตถุต้องสงสัย เป็นวัตถุสแตนเลส 2 ขวด ซึ่งไม่ใช่ของทางโรงแรม ปรากฏอยู่ในห้อง และยังไม่ได้ตรวจสอบเครื่องดื่มด้านใน แต่ได้เก็บหลักฐานไว้หมดแล้ว
เบื้องต้น ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ การทำร้าย หรือรื้อค้น ข้าวของก็ปกติ รวมถึงไม่พบร่องรอยบาดแผล รายเดียวที่มีบาดแผลบนใบหน้า สันนิษฐานว่าน่าจะล้มฟาดโดนวัสดุแข็ง แต่ไม่ถูกทำร้าย ยืนยันว่าไม่มีการประทุษร้าย จากการตรวจสอบมีบุคคลหนึ่งพยายามมาที่ประตู แต่มาไม่ถึง เพราะล้มอยู่หน้าประตู 2 คน เป็นชายและหญิง ซึ่งต้องส่งชันสูตรพลิกศพทั้งหมด ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
แจ้งบุ๊กกิ้ง 7 คน เช็กอิน 5 คน แต่พบศพ 6 ศพ
ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ระบุว่า เบื้องต้น สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) พิสูจน์แล้วว่า ผู้เสียชีวิต 6 ศพนั้น ตรงกับผู้เสียชีวิต 5 คน แต่คนที่ 6 กำลังไล่ดูว่ามาอย่างไร ข้อสงสัยคือคนที่ 7 มีอยู่จริงหรือไม่
ส่วนมูลเหตุจูงใจนั้น เบื้องต้น ทั้งหมดไม่ได้ทำร้ายตัวเอง แต่ถูกบุคคลอื่นทำให้เสียชีวิต จึงต้องพิสูจน์ โดยตามหาบุคคลที่ 7 ว่าที่บุกกิ้งมา ได้เข้ามาหรือไม่ ถ้ามาด้วยกันก็ต้องมีข้อมูลการเดินทางเข้าประเทศ ที่นั่งสายการบิน แต่หากไม่มีบุคคลที่ 7 อะไรคือมูลเหตุจูงใจ ก็ต้องพิสูจน์ รวมถึงการเก็บรายละเอียดทั้งหมด ต้องมีคำตอบให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง และขณะนี้ให้ทางสถานทูตตรวจสอบว่า ผู้เสียชีวิตประกอบอาชีพอะไรและมีจุดประสงค์อะไรในการเดินทางเข้ามา พร้อมสอบปากคำพนักงานที่เข้ามาเสิร์ฟอาหารว่าเห็นความผิดปกติไม่
สำหรับกระเป๋าทั้งหมด ได้ประสานสถานทูตเวียดนาม ประจำประเทศไทย เพื่อจะพิสูจน์ร่วมกัน ว่าในกระเป๋ามีอะไรที่เป็นวัตถุพยานและหลักฐาน นำไปสู่การคลี่คลายคดีได้หรือไม่
ผู้สื่อข่าวสอบถามถึงการที่ผู้เสียชีวิตบางคน เดินทางเข้า-ออกประเทศไทยหลายครั้ง บ่งบอกถึงสิ่งผิดปกติหรือไม่ พล.ต.ท.ธิติ ระบุว่า ยังไม่ทราบ ต้องรอดูข้อมูลจาก สตม. ตอนนี้ตรวจสอบเพียงว่า เดินทางเข้ามาประเทศไทยจริงหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ได้ตั้งประเด็นว่าถูกวางยา แต่มีบุคคลคนหนึ่งประสงค์ต่อชีวิต แต่จะด้วยวิธีการใดนั้น นิติวิทยาศาสตร์จะเป็นคนบอก พร้อมด้วยพยานหลักฐานมาเชื่อมโยงกัน หากสอดคล้องกันก็จะตอบได้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร
เมื่อถามว่า เล็บมือเล็บเท้าของผู้เสียชีวิต มีลักษณะดำคล้ำหรือไม่ ผบช.น. ระบุว่า อาจเกิดจากสาเหตุการเสียชีวิตมาประมาณ 24 ชั่วโมง
ส่วนสิ่งที่ทำให้เสียชีวิต อยู่ในแก้วชาหรือไม่ ผบช.น.ระบุว่า ยังไม่ขอฟันธง ต้องตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ทั้งหมด เพราะไม่รู้ว่าในห้องนั้นมีสารอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง โดยเฉพาะเครื่องดื่ม ต้องแยกทีละแก้ว ไม่พบซองยาหรือเกร็ดขาว ๆ ตกที่พื้น แต่พบที่ก้นแก้วน้ำ มีผงอะไรบางอย่างอยู่
ผู้สื่อข่าวถามว่า คดีนี้ยากหรือไม่ที่จะคลี่คลาย พล.ต.ท.ธิติ ยอมรับว่า ยากอยู่ที่การตรวจพิสูจน์ แต่ไม่เกินขีดความสามารถ และนิติวิทยาศาสตร์จะบ่งชี้ว่าอะไรคืออะไร ส่วนผู้ตายบางรายเป็นพี่น้องกันหรือไม่ เบื้องต้น จากการตรวจสอบ มีความสอดคล้องของชื่อ แต่จะต้องตรวจสอบอีกครั้ง
พร้อมตั้งข้อสังเกตุ ที่ผู้เสียชีวิตเข้ามาเช็กอิน วันที่ 13 และ 14 กรกฎาคม และจะกลับวันที่ 15 กรกฎาคม มาทำอะไร มาทำธุรกิจอะไรหรือไม่ เพราะถ้ามาท่องเที่ยว จะต้องอยู่นานกว่านี้
ผบช.น.กล่าวด้วยว่า นายกรัฐมนตรีฝากทำความเข้าใจว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ไม่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว เพราะเกิดภายในสถานที่พัก เป็นที่ปิด และไม่เกี่ยวกับทรัพย์สินอะไร สำหรับกล้องวงจรปิดไม่เสีย เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างตรวจสอบ
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: