เมื่อเอ่ยถึงเรื่องการแพทย์แผนไทยหรือแพทย์ภูมิปัญญาไม่ว่าจะเป็นเรื่องโรงอบสมุนไพร, นวดแผนไทย, ตอกเส้น หรือกิจกรรมใดๆที่เกี่ยวข้องกับด้านสุขภาวะ โดยส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่ฆราวาส มากกว่าที่จะมาคิดถึงเรื่องสุขภาพของพระภิกษุ สามเณร ที่ผ่านมาบทบาทของทางวัดจึงได้ทำแค่เอื้อเฟื้อสถานที่เพื่อดำเนินกิจกรรมเหล่านั้นให้บรรลุวัตถุประสงค์ ขณะที่ปัญหาสุขภาพพระสงฆ์เองกลับไม่ค่อยได้รับความสนใจมากมายนัก
พระอาจารย์บุญร่วม ปภากโร เจ้าอาวาสวัดป่าหนองแก้ว ต.หนองแก้ว อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ สาขาที่ 18 วัดหนองป่าพง กล่าวถึงเรื่องนี้ว่าพระภิกษุ สามเณร มีชีวิตความเป็นอยู่โดยอาศัยผู้อื่น กล่าวคืออุบาสก อุบาสิกาได้อุปัฐถากด้วยปัจจัย 4 และในนั้นมีอาหารบิณฑบาต ซึ่งเป็นอาหารอันประณีตหรือเป็นอาหารที่ปรุงมาอย่างดี เมื่อภิกษุฉันนานวันเข้า โดยไม่ได้ออกกำลังกาย จึงทำให้เกิดโรคอ้วน ความดันสูง เบาหวานและโรคภัยต่างๆตามมามากมาย
ปัญหานี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นกับเหล่าพระสงฆ์ แต่เกิดมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ซึ่งท่านได้กล่าวถึง หมอชีวกโกมารภัจจ์ที่ได้ตระหนักเรื่องนี้หลังจากที่เดินไปเจอพระรูปร่างอ้วน จึงคิดว่าต้องหาทางขับสารพิษ ขับของเสียออกจากร่างกาย จึงได้ทูลเรื่องนี้กับพระพุทธเจ้าและพระองค์ก็ทรงอนุญาตให้หมอชีวกฯทำเรือนไฟเพื่อให้พระภิกษุย่างกายหลังจากฉันอาหารอันประณีตจึงได้เป็นที่มาของชันตาฆรวัตรและเกิดโรงอบ หรือเรือนไฟขึ้นมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลนานมา
ต่อปัญหานี้พระอาจารย์บุญร่วมจึงได้สนใจศึกษาแนวทางชันตาฆรวัตรที่เกิดขึ้นในสมัยพุทธกาล เพื่อเปรียบเทียบกับ โรงอบสมุนไพรเพื่อสุขภาพที่มีอยู่ในปัจจุบันว่าจะมีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรท่านจึงได้เข้าเรียนหลักสูตรปริญญาพุทธศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาพระพระพุทธศาสนา บัณฑิตวิทาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และได้ทำวิทยานิพนธ์ หัวข้อ “การศึกษาวิเคราะห์หลักชันตาฆรวัตรในพระพุทธศาสนาเถรวาทกับการอบสมุนไพรเพื่อสุขภาพในปัจจุบัน” ซึ่ง “ชันตาฆรวัตร” หมายถึง ข้อวัตรปฏิบัติในเรือนไฟ เพื่อการประพฤติชอบในการใช้เรือนไฟของพระภิกษุเมื่อครั้งพุทธกาล
จากวิทยานิพนธ์เล่มหนึ่งของพระอาจารย์บุญร่วม ท่านจึงได้นำองค์ความรู้ที่ศึกษามาทั้งหมดทุ่มเทแรงกาย แรงทรัพย์ส่วนตัวและแรงศรัทธาจากญาติโยม สร้างโรงอบสมุนไพรหรือเรือนย่างกายขึ้นภายในวัดป่าหนองแก้ว ตามศาสตร์โบราณผสมผสานกับศาสตร์สมัยใหม่ที่ได้เดินทางไปศึกษาดูงานมาหลายที่ เพื่อจะเป็นสถานที่บำบัด บรรเทาและรักษาโรคภัยขึ้นทั้งในกลุ่มพระสงฆ์และญาติโยมซึ่งได้ดำเนินการมา กว่า3ปีแล้ว
โดยโรงอบฯจะเปิดทำการในวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ สำหรับผู้ที่ไปใช้บริการสามารถทำบุญร่วมกับทางวัดได้ตามกำลังศรัทธา เนื่องจากการสร้างห้องอบสมุนไพรตามแบบของชันตาฆรวัตรนั้น ถือได้ว่าเป็นการสร้างห้องอบสมุนไพรเน้นการใช้ประโยชน์ส่วนรวม ไม่ได้เป็นไปในเชิงธุรกิจ เน้นการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ สร้างความเป็นผู้มีจิตเมตตาเป็นหลัก
พระอาจารย์บุญร่วม ฝากถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ว่า จากแนวทางชันตาฆรวัตรของพระสงฆ์ในอดีต มาสู่รูปแบบโรงอบสมุนไพรเพื่อสุขภาพในปัจจุบัน ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องควรนำประเด็นนี้กลับมาเป็นข้อพิจารณาพิเศษ ต่อไปเรื่องของการทำบุญที่วัด นอกจากเรื่องของการสร้างโบสถ์สร้างศาลาหรือพุทธสถานอย่างที่เคยทำมา อาจจะต้องเพิ่มเติมเรื่องการสร้างโรงอบสมุนไพร หรือเรือนไฟสำหรับภิกษุและคนทั่วไปให้ได้ใช้ประโยชน์ร่วมกันด้วย…
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: