ทนายอาสาเข้าช่วยเหลือชาวบ้านวังลึก ที่ถูกเจ้าหน้าที่สรรพสามิตทำร้ายร่างกายเพราะเข้าใจผิดว่าลำเลียงเหล้าเถื่อน โดดรัดคอหญิงสาวขณะขับรถจักรยานยนต์จนได้รับบาดเจ็บ ใช้อำนาจรัฐไม่ต้องรับโทษพนักงานสอบสวนเป็นใจ
น้องไอท์ หรือนางสาวทัศวรรณ มาป๊อก อายุ 21 ปี อยู่บ้านเลขที่ 113 หมู่ 11 บ้านวังลึก ต.นาพูน อ.วังชิ้น จ.แพร่ และครอบครัวยังต้องหวาดผวากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อเวลา 20.30 น.วันที่ 30 มิถุนายน ในขณะขับรถจักรยานยนต์ฮอนด้าดรีมสีดำ ทะเบียน 1กจ6902 แพร่ มากับเพื่อนๆ อีก 2 คัน เมื่อถีงจุดเกิดเหตุด้านหลังบ้านของตนเอง ถูกชายฉกรรจ์ กลุ่มหนึ่งออกจากข้างทางเข้าล็อคคอของน้องไอท์ที่ขับมาคันแรกจนรถล้มลงรถจักรยานยนต์ได้รับความเสียหาย และเธอได้รับบาดเจ็บที่บริเวณลำคอ ซึ่งทราบว่า ชายฉกรรจ์ที่โดดเข้าล็อคคอเธอคือเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่เด่นชัย เธอตกใจมากร้องให้คนช่วยเหลือ เจ้าหน้าที่สรรพสามิตฯ จึงได้แจ้งให้น้องไอท์ทราบว่า ตนกำลังปฏิบัติการปราบพวกขนสุราเถื่อนมีสายรายงานว่า จะมีการลำเลียงสุราเถื่อนด้วยรถจักรยานยนต์จำนวน 3 คันมาบริเวณนี้ การจับผิดตัวครั้งนี้สรรพสามิตแสดงความรับผิดชอบให้น้องไอท์ไปลงบันทึกประจำวันแล้วจะไปช่วยค่าเสียหาย
พอรุ่งเช้าของวันที่ 1 กรกฎาคม เวลา 07.45 น. น้องไอท์และญาติๆ จึงไปที่สถานีตำรวจเพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษเจ้าหน้าที่สรรพสามิตต่อ ร.ต.อ.สรวิศภูมิ ประมูล รอง สว.(สอบสวน) สภ.นาพูนทำหน้าที่เป็นพนักงานสอบสวน ได้แนะนำให้แจ้งความไว้เป็นหลักฐานก็พอเพราะเจ้าหน้าที่สรรพสามิตคงจะมาเคลียร์ปัญหาที่เกิดขึ้น ต่อมาเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่เด่นชัย ได้เข้ามาพบพนักงานสอบสวนและคู่กรณีที่ ห้องพนักงานสอบสวน ปรากฏว่า สถานการณ์มิได้เป็นเช่นเมื่อคืนเกิดเหตุ สรรพสามิตเปลี่ยนมาใช้วิธีข่มขู่ ถ้าจะเอาค่าทำขวัญให้ไปแจ้งความ ส่วนรถจักรยานยนต์ที่เสียหายทำไมไม่เข้ามาแจ้งความในเวลาเกิดเหตุ ผ่านไป 1 คืนอาจนำรถไปทำความเสียหายเพิ่มหรือไม่ก็ไม่รู้ คงต้องไปให้ช่างพิสูจน์ว่าความเสียหายใหม่เก่าอย่างไรเสียก่อน และถ้าเรื่องมากสรรพสามิตก็จะแจ้งความกลับเพราะได้รับบาดเจ็บเหมือนกันจะแจ้งว่าถูกน้องไอท์ขับรถจักรยานยนต์มาชนเจ้าหน้าที่ของรัฐขณะปฏิบัติหน้าที่ การเจรจาไม่รู้เรื่องในที่สุดญาติ ๆ จึงพาน้องไอท์ลงจาก สภ.นาพูนเพราะพึ่งกระบวนการยุติธรรมในจังหวัดแพร่ไม่ได้แล้วจึงได้ร้องศูนย์ดำรงธรรมไปเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ต่อมา นายติรานนท์ เวียงธรรม ทนายอาสาในจังหวัดแพร่ ได้พาน้องไอท์ไปแจ้งความอีกรอบในวันที่ 10 กรกฎาคม เป็นการแจ้งความเพื่อดำเนินคดีอาญา
นายติรานนท์ เวียงธรรม กล่าวว่า ในเบื้องต้นเห็นว่าชาวบ้านไม่ได้รับความเป็นธรรมต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐเบื้องตนได้เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง พบว่า ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บและยานพาหนะได้รับความเสียหาย จึงได้พาผู้เสียหายเข้าไปแล้วความร้องทุกข์อีกรอบ ซึ่งพบว่า พนักงานสอบสวนได้พยายามให้ไกล่เกลี่ยกันมากกว่า คดีนี้ถ้ามองตามข้อเท็จจริงจะเข้าข่ายในเรื่องของการทำร้ายร่างกาย และทำให้เสียทรัพย์ รวมทั้งในส่วนของการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่สรรพสามิตชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐรายนี้ต้องรับผิดชอบมิใช่ใช้อำนาจข่มขู่ชาวบ้านให้ยอมความ
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ในสำนวนคดีปรากฏว่า มีการลงนามของผู้เสียหายเป็นการยอมความไปแล้ว เรื่องนี้พนักงานสอบสวน สภ.นาพูนเป็นผู้คิดเอาเองว่า การที่ชาวบ้านไม่เจรจาลงจาก สภ.ไป ถือเป็นการยอมความไม่เอาเรื่องเอาราวกันต่อไป เรื่องนี้ทนายความกล่าวว่า ต้องดูข้อเท็จจริงจะปรักปรำพนักงานสอบสวนไม่ได้แต่ถ้าเป็นการปลอมลายเซ็นต์ของผู้เสียหายจริงก็คงเป็นไปตามกฎหมาย
วันที่ 12 กรกฎาคมนายวิเชียร อนุสาสนนันท์ รักษาราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ ได้ตอบรับตามหนังสือที่ พร0017.1 / 253 แจ้งให้ทราบว่า ได้รับเรื่องร้องทุกข์แล้วกรณีที่สรรพสามิตกระทำเกินกว่าเหตุทำให้ทรัพย์สินได้รับความเสียหาย จังหวัดแพร่จะดำเนินการแจ้งสรรพสามิตพื้นที่แพร่ ตรวจสอบข้อเท็จจริงและดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ แล้วผลเป็นประการใดจะแจ้งให้ทราบต่อไป หลังจากนั้นมีเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่จังหวัดแพร่เดินทางมาพบน้องไอท์แจ้งว่า การจับกุมดังกล่าวเป็นคำสั่งของนายประดิษฐ์ ศรีกองหนุน สรรพสามิตพื้นที่แพร่ โดยตรงเพื่อปราบปรามการค้าสุราเถื่อนเหตุที่เกิดขึ้นอาจเกิดความผิดพลาดไป
นายประดิษฐ์ ศรีกองหนุน สรรพสามิตพื้นที่แพร่ กรณีที่เกิดขึ้นได้เดินทางไปพบผู้เสียหายด้วยตัวเอง ไปดูที่เกิดเหตุแล้ว พบว่าจักรยานยนต์ได้รับความเสียหายทางสรรพสามิตยินดีที่จะชดใช้ค่าเสียหาย ส่วนคดีก็ให้ดำเนินการไปตามกฏหมายซึ่งต่อไปการเข้าสกัดกลุ่มสุราเถื่อนจะต้องรอบคอบกว่านี้เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยทั่วไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากวันเกิดเหตุมาจนถึงปัจจุบันกว่าครึ่งเดือนแล้ว น้องไอท์และครอบครัวยังไม่ได้รับความเป็นธรรม อีกทั้งยังทำให้ชาวบ้านในตำบลวังลึกไม่กล้าที่จะออกไปทำงานนอกบ้านแล้วต้องเดินทางกลับบ้านในยามวิกาล เกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน แหล่งข่าวในหมู่บ้านวังลึกบอกว่า การกระทำดังกล่าวยังถือว่าเป็นการคุกคามประชาชนที่ไม่มีทางสู้ กระบวนการยุติธรรมไม่ดำเนินการตามกฎหมายแต่ใช้วิธีไกล่เกลี่ยแทนการกระทำผิดตามกฏหมายไม่รับผิดชอบต่อผู้เสียหาย ส่วนการผลิตสุรากลั่นชุมขนเป็นอาชีพหนึ่งในชุมชนในตำบลนาพูนมีอยู่ 36 โรงงาน เป็นที่ทราบดีว่าในช่วงปัญหาโควิด19 และต่อด้วยปัญหาสงครามรัสเซีย- ยูเครน ส่งผลให้เศรษฐกิจในชุมชนย่ำแย่มาก เจ้าหน้าที่สรรพสามิตอาจผ่อนปรน ไม่ใช้วิธีการที่รุนแรงจนส่งผลกระทบต่อประชาชนอาชีพอื่น เรื่องนี้ น้องไอท์อาจไม่ได้รับความเป็นธรรมตลอดไป
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: