ตัวแทนบริษัทรับเหมาก่อสร้างรายใหญ่ในจังหวัดแพร่ เข้ายื่นหนังสือร้องทุกข์ต่อศูนย์ดำรงธรรมจังหวัด ผ่านผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ เพื่อขอความเป็นธรรม กรณี การก่อสร้างทางหลวง หมายเลข 1125 นาปลากั้ง-วังชิ้น ไม่เป็นไปตามสัญญา
เสาไฟกิ่งเหล่านี้ เป็นของกรมทางหลวง หลังผู้รับเหมาประมูลโครงการขยายไหล่ทางได้เริ่มทำงานตั้งแต่ วันที่ 16 มกราคม 2566 แต่กรมทางไม่ได้เคลียร์สิ่งกีดขวาง เช่น เสาไฟกิ่งของกรมทางหลวง สะพาน ที่ผู้ว่าจ้างต้องดำเนินการ. แต่ล่าสุด 18 กรกฎาคม กรมทางหลวงยังไม่ดำเนินการทำให้โครงการล่าช้าจนหมดสัญญา มีการปรับวันละประมาณ 1 แสนบาท นอกจากผู้รับเหมาเดือดร้อนแล้ว ยังสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่อย่างมาก
ล่าสุดวันที่ 19 กันยายน 2566 ที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดแพร่ ศาลากลางจังหวัดแพร่ นายนพพร ศักดาพร ตัวแทนบริษัทศักดาพร จำกัด ผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการก่อสร้างโครงข่ายทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข 1125 ตอนนาปลากั้ง-วังชิ้น เข้าพบนายชุติเดช มีจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ เพื่อยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม กรณีบริษัทเข้าดำเนินการก่อสร้างล่าช้าไม่เป็นไปตามสัญญา เนื่องจากผู้ว่าจ้างไม่เข้าเคลียร์พื้นที่ รื้อถอนเสาไฟฟ้าให้แล้วเสร็จก่อนส่งมอบพื้นที่ เป็นเหตุให้บริษัทฯ ไม่สามารถดำเนินการได้ทันตามสัญญา จนถูกผู้ว่าจ้างปรับเป็นเงินหลายแสนบาท การเดินทางมายื่นหนังสือครั้งนี้ เพื่อขอให้ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดแพร่ตรวจสอบพฤติกรรมของบุคลากรของแขวงทางหลวงแพร่ และขอให้ผู้ว่าจ้างงดหรือลดค่าปรับ หรือ ขยายระยะเวลาก่อสร้างตามสัญญา
ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ ได้รับมอบหนังสือร้องเรียนไว้ และรับจะดำเนินการตามกระบวนการของศูนย์ดำรงธรรม โดยให้แขวงทางหลวงแพร่ชี้แจงข้อเท็จจริงแล้วจะแจ้งให้ตัวแทนบริษัทศักดาพร ทราบ ภายใน 30 วัน ส่วนการขยายระยะเวลาก่อสร้างตามสัญญา หรือ ให้ผู้ว่าจ้างงด หรือลดค่าปรับนั้น ไม่อยู่ในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด เนื่องจากเป็นเรื่องของคู่สัญญา ระหว่างบริษัทผู้รับจ้างและแขวงทางหลวงแพร่ กรมทางหลวง ซึ่งเป็นหน่วยงานส่วนกลาง ไม่ได้อยู่ในอำนาจที่ผู้ว่าราชการจังหวัดจะสั่งการได้
ขณะเดียวกัน ตัวแทนบริษัทศักดาพร จำกัด ยังเปิดเผยกับสื่อมวลชนว่า ทั้งนี้ หากมีการตรวจสอบแล้วพบว่ามีการกระทำผิดจริง ทางผู้รับจ้างไม่ต้องการให้ ผู้อำนวยการแขวงทางหลวงแพร่ ซึ่งมีชื่ออยู่ในสัญญา มาเกี่ยวข้องในสัญญาจ้างอีกต่อไป และยังได้สำเนาหนังสือดังกล่าว ส่งถึงนายกรัฐมนตรี, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, อธิบดีกรมทางหลวง และผู้อำนวยการสำนักทางหลวงที่ 2 (แพร่) เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงนำไปการสั่งการเร่งด่วน เพราะหากล่าช้าจะทำให้เกิดความเสียหายต่อภาครัฐและประชาชนในพื้นที่ต่อไป
