ชาวบ้านชัยภูมิเริ่มสุดทน โดยเฉพาะในช่วงปีใหม่ที่จะถึงทุกปีจะมีรถผ่านหนาแน่นเกิดเหตุบ่อยครั้งเป็นจำนวนมาก ล่าสุดชาย 55 ปีถูกเก๋งพุ่งชนดับสยองหน้าปากทางเข้าหมู่บ้านของตัวเองซ้ำอีกด้านญาติผู้ตายสุดทนตามไล่ชกคนขับเก๋งจนล้มฟุบหมดสติเจ็บสาหัส เกิดเหตุชุลมุนกลายเป็นคดีซ้ำซ้อนกันเพิ่มตามกันมาไปใหญ่อีก
วันที่ 24 ธ.ค.60 เมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมา ร.ต.อ.ศิริ จันดีศรี รอง สว.(สอบสวน)สภ.เมืองชัยภูมิ รับแจ้งจาก 191 สถานีตำรวจภูธรเมืองชัยภูมิ ว่ามีอุบัติเหตุ รถเก๋งชนกับรถจักรยายนต์ บริเวณหน้าทางเข้าหมู่บ้านหนองบัวขาว ตำบลชีลอง อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ ช่วงริมถนนสายชัยภูมิ-นครสวรค์ จึงรุดไปตรวจที่เกิดเหตุพร้อมหน่วยกู้ภัยสว่างคุณธรรมชัยภูมิและแพทย์เวรโรงพยาบาลชัยภูมิ
ในที่เกิดเหตุพบรถยนต์เก๋งมาสด้า2 สีขาว ป้ายทะเบียน 1 กค 902 กรุงเทพมหานคร สภาพด้านหน้ามีร่องรอยชนจนกระจกหน้าแตก โดยมีนายณรงค์ พรมสาร อายุ 61 ปี อาศัยบ้านเลขที่ 81 หมู่ที่ 6 ตำบลตลาดแร้ง อำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ เป็นคนขับ ห่างออกไปพบรถจักรยายนต์ยี่ห้อยามาฮ่าเมต สีดำไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน นอนคว่ำอยู่ และ ยังพบร่างผู้เสียชีวิตเป็นชาย 1 ราย สภาพใบหน้าเละศรีษะเปิด ทราบต่อมาชื่อนาย คำดี งาประดิษฐ์ อายุ 55 ปี อาศัยบ้านเลขที่ 52 หมู่ที่ 15 ตำบลชีลอง อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ
ซึ่งทางด้าน นายณรงค์ พรมสาร ซึ่งเป็นคนขับรถเก๋งคันดังกล่าวยืนรอให้การกับเจ้าหน้าที่โดยยังไม่ทันระวัง ถูกหลานผู้เสียชีวิต วิ่งเข้ามาไล่ชกบริเวณใบหน้าแตก จนร่างล้มฟุบลงไปกระแทกพื้นหมดสติ ได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ้าหน้าที่ต้องเร่งให้การช่วยเหลือนำตัวส่งโรงพยาบาลชัยภูมิไปก่อน
โดยร.ต.อ.ศิริ จันดีศรี รอง สว.(สอบสวน)สภ.เมืองชัยภูมิ จะได้นำตัว ผู้ประกอบเหตุ ชกคนขับรถเก๋ง รายนี้ทราบชื่อต่อมา นายทนงศักดิ์ ปราบคะเชน อายุ23ปี อาศัยบ้านเลขที่ 54 หมู่ที่ 15 ตำบลชีลอง อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ ผู้ที่ก่อเหตุทำร้ายร่างกายคนขับรถเก๋ง ไปสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อดำเนนคดีกับทุก2ฝ่าย ส่วนร่างผู้เสียชีวิตจะได้มอบให้ญาติรับไปดำเนินการตามศาสนาต่อไป
ส่วนในที่เกิดเหตุ นายทองดำ เพิ่มโพธิ์กลาง อายุ 64 ปี บ้านเลขที่ 75/6 ม.17 ต.ชีลอง อ.เมือง จ.ชัยภูมิ ซึ่งเป็นชาวบ้านบ้านหนองบัวขาว อาศัยอยู่ใกล้จุดบริเวณถนนดังกล่าว จึงได้ขอฝากวิงวอนผ่านสื่อมวลชนในครั้งนี้ด้วยว่า ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเข้ามาดูแลปัญหาการเกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้งในจุดนี้ด้วย เพราะไม่มีแสงไฟฟ้าตามเสาที่ส่องสว่างเพียงพอมานานกว่า 30 ปีแล้ว ซึ่งชาวบ้านเคยร้องขอมานานแล้วเพราะ ถือเป็นเส้นทางหลักของชุมชน ที่อันตรายมืดมากในช่วงค่ำคืนและเกิดอุบัติเหตุในลักษณะนี้จนมีผู้เสียชีวิตในจุดนี้มาแล้วอยู่บ่อยครั้ง
