ชัยภูมิ – เป็นรายล่าสุดที่เข้ามาเพิ่มจุดเสี่ยงให้กับพื้นที่จังหวัดเป็นรายที่ 8 ที่เป็นชาวจ.ชัยภูมิ พบผู้ติดเชื้อ ซึ่งไม่ใช่การติดเชื้อจากคนในพื้นที่ หลังรายเก่าทั้ง 7 ราย รักษาหายให้กลับบ้านได้หมดแล้วก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ส่วนรายนี้เป็นชายวัย 30 ปี ชาว อ.เทพสถิต ที่ล่าสุดเดินทางมาจากจังหวัดเสี่ยงเคยกักตัวครบ 14 วันและผ่านผลตรวจไม่พบเชื้อมาก่อน จึงเดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านที่ชัยภูมิ ช่วงปีใหม่ ก่อนเดินทางกลับเพื่อที่จะเตรียมไปยื่นขอใบรับรองแพทย์จะเดินทางไปทำงานต่างประเทศ กลับมีผลตรวจติดโควิด-19 ด้าน สสจ.ชัยภูมิ เร่งปูพรมป้องกันกลุ่มคนที่ไปเกี่ยวข้องเป็นทั้งกลุ่มเสี่ยงสูงทั้ง 13 คน และเสี่ยงต่ำ อีก 32 คน มาอยู่ในความดูแลของแพทย์ให้กักตัวจากนี้ไปในอีกไม่น้อยกว่า 14 วันทั้งหมดแล้ว ประกาศย้ำเตือนขอ ปชช.ที่มาจากจังหวัดกลุ่มเสี่ยง ต้องรีบไปแจ้งรายงานตัวต่อผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ในพื้นที่ตนเองเป็นการด่วนทุกรายทันที เพื่อช่วยกันป้องกันให้เข้มงวดจากนี้ต่อไปให้มากขึ้นด้วย!
เมื่อเวลา 13.30 น.วันที่ 9 ม.ค.64 ที่ห้องแถลงข่าวศูนย์ประชาสัมพันธ์สถานการณ์โควิด-19 สนง.ประชาสัมพันธ์ จ.ชัยภูมิ บริเวณชั้น 1 ศาลากลางจังหวัดชัยภูมิ ทางจังหวัดชัยภูมิได้มอบหมายให้ นายแพทย์ดุสิต ขำชัยภูมิ รองนายแพทย์สาธารณะสุขจังหวัดชัยภูมิ เปิดแถลงข่าวสถานการณ์โรคโควิด-19 ล่าสุด ในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งมีการตรวจพบมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 มีผลยืนยันเป็นรายที่ 8 เพิ่มเติมล่าสุดที่เกี่ยวข้องสร้างพื้นที่เสี่ยงให้กับจังหวัดชัยภูมิเพิ่มอีก 1 ราย หลังก่อนหน้านี้ตลอดช่วงกว่า 14 วันที่ผ่านมา จ.ชัยภูมิ พบมีผู้ติดเชื้อไปแล้วรวม 7 ราย และได้มีการดำเนินการช่วยรักษาให้หายและสามารถให้ออกโรงพยาบาลกลับบ้านได้ครบทั้ง 7 รายไปแล้ว
และรายนี้เป็นรายใหม่เพิ่มเติมล่าสุดเป็นรายที่ 8 หลังมีรายงานว่าเมื่อช่วงวันที่ 8 ม.ค.64 ที่ผ่านมา ทาง จ.ชัยภูมิพบว่าได้มีชายวัย 30 ปี ชาว ต.วะบะแบก อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ ไปตรวจสุขภาพเพื่อขอใบรองแพทย์ที่ รพ.สมุทรปราการ เพื่อที่จะเดินทางไปทำงานที่ประเทศคูเวต เมื่อวันที่ 6 มกราคม ที่ผ่านมา ผลตรวจออกมาเมื่อวันที่ 7 ม.ค.64 พบว่าติดเชื้อโควิด-19 โดยชายวัยวัย 30 ปี ชาว ต.วะบะแบก อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ เป็นแรงงานที่เดิมทำงานที่ประเทศคูเวต ได้เดินทางกลับมาประเทศไทย และถูกกักตัวตามมาตรการ 14 วันมาแล้ว ซึ่งช่วงแรกไม่พบเชื้อและได้เดินทางกลับมาเยี่ยมบ้านที่ อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ ในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา และมีประวัติมีเพื่อนที่เป็นคนในจังหวัดกลุ่มเสี่ยง 5 จังหวัด ทั้งกรุงเทพฯ จ.นนทบุรี จ.ชลบุรี จ.ระยอง ก่อนเดินทางมาเยี่ยมที่บ้าน มีการร่วมกลุ่มกันสังสรรค์จัดงานฉลองปีใหม่กัน ในวันที่ 1 ม.ค.64 รับประทานอาหารร่วมกันก่อนที่เพื่อนแยกกันกลับ และในวันที่ 2 และ 3 ม.ค.64 ชายผู้พบเชื้อรายนี้ ได้เดินทางไปทำบุญที่วัดบ้านไร่ อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ
ก่อนที่ในวันที่ 5 ม.ค.64 ได้เดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯและจ.สมุทรปราการ เพื่อจะเตรียมเดินทางกลับไปทำงานในต่างประเทศ จึงได้ไปขอตรวจหาเชื้อโควิด ในช่วง 6-7 ม.ค.64 จึงมีผลยืนยันว่าตัวเองติดเชื้อโควิด-19 และล่าสุดในช่วงวันที่ 8 -9 ม.ค.64 นี้ ผู้ป่วยรายนี้ที่เป็นชาวชัยภูมิ ได้อยู่ในความดูแลกักตัวอยู่ที่ รพ.บางพลี จ.สมุทรปราการ แล้ว ซึ่งไม่ได้เกิดจาการติดเชื้อจากคนในพื้นที่
และในส่วนการดำเนินการป้องกันในพื้นที่จังหวัดชัยภูมิ ขณะนี้ได้มีการติดตามตรวจหาบุคคลกลุ่มเสี่ยงสูงที่มาเกี่ยวข้องกับผู้ป่วยรายนี้ รวมทั้งสิ้น 13 คน ที่มีญาติใกล้ชิดเพียง 1 คนที่อยู่ใน จ.ชัยภูมิ และอีก 12 คนอยู่ในกลุ่มเสี่ยงมีภูมิลำเนากลุ่มเสี่ยงมาจาก 5 จังหวัด (จ.สมุทรสาคร,ชลบุรี,ระยอง,ตราด และจันทบุรี)
โดยมาตรการจากนี้ไปในคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงที่อยู่ที่ จ.ชัยภูมิ ใน อ.เทพสถิต 1 รายนี้ ขณะนี้ได้มาอยู่ในความดูแลกักตัว 14 วันเพื่อรอผลตรวจหาเชื้อที่ชัดเจนอีกครั้งว่าจะมีเชื้อหรือไม่ต่อไป ซึ่งก็มีประวัติที่จะต้องติดตามกลุ่มเสี่ยงใกล้ชิดเพิ่มเติมซึ่งญาติที่ชัยภูมิ รายนี้เป็นพนักงานขับรถส่งสินค้าที่จะเดินทางไปส่งของที่แม่สอด จ.ตาก,ชลบุรี
รวมทั้งในการเร่งป้องกันพื้นที่เสี่ยงที่มีผู้ติดโควิดรายนี้และกลุ่มเสี่ยงสูงทั้งหมดเดินทางไป ทั้งที่วัดในพื้นที่ อ.เทพสถิต และตลาดในพื้นที่ขณะนี้ได้มีการสั่งให้ปิดตลาดทำความสะอาดไว้ก่อนทั้งหมดแล้ว รวมทั้งในจุดหมู่บ้านที่มีคนกลุ่มเสี่ยงไป ที่มีผู้เกี่ยวข้องกลุ่มเสี่ยงต่ำอีก 32 ราย ก็ให้เข้ามารายงานตรวจตรวจคัดกรองและกักตัวภายใน 14 วันอีกทั้งหมดไว้ก่อนแล้ว
ซึ่งจากนี้ไปก็ขอให้ประชาชนในพื้นที่อย่าแตกตื่น แต่ต้องตั้งสติช่วยกันป้องกันตามมาตรการที่ทางจังหวัดประกาศไว้ ทั้งร้านค้า ร้านอาหาร สถานบันเทิงก็ยังสามารถเปิดได้แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันที่จังหวัดกำหนดไว้ให้อย่างเคร่งครัดด้วย การสวมใส่หน้ากากอนามัย 100 % และโดยเฉพาะประชาชนชาวจังหวัดชัยภูมิ ที่เดินทางมาจังหวัดกลุ่มเสี่ยงขอให้ทุกคนต้องไปรายงานต่อผู้นำชุมชน กำนัน ผู้ใหญ่บ้านทันทีด้วย เพื่อช่วยกันป้องกันให้เข้มงวดจากนี้ต่อไปให้มากขึ้นด้วย
