ชัยภูมิ – วอนหน่วยงานเกี่ยวข้องเร่งช่วย หลังยุคโควิดระบาดยังไม่มีสิทธิ์แม้การขอได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 วอนผ่านสื่อมวลชน-นายอำเภอ เร่งยืนมือช่วยเหลือหวังพอมีความหวังขอยื่นทำบัตรประชาชนได้ใหม่ขึ้นอีกครั้งบ้าง!!
( 17 พ.ย.64 ) ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนขอความเป็นธรรมและลงพื้นที่ไปที่บ้านเลขที่ 80 หมู่ที่ 6 ตำบลนายางกลัก อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ พบกับนางบุปผา วิกล อายุ 43 ปี พร้อมกับสามีคือนายแพงสี นักรบ อายุ 49 ปี ผู้เป็นเจ้าบ้าน และมีบุตร (ลูก) อีก 2 คนที่กำลังอยู่ในวัยเรียน ซึ่งอาศัยอยู่ที่บ้านดังกล่าวแบบเรียบง่าย จากอาชีพการเป็นเกษตรกร และรับจ้างทั่วไป แต่การใช้ชีวิตของผู้เป็นแม่ ที่พบว่าในทุกวันนี้ตัวเธอเองยังไม่มีบัตรประชาชน หรือกระทั่งว่าไม่สามารถยืนยันได้ว่า “ เธอเป็นคนไทย “
จากการสอบถาม นางบุปผา วิกล เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า มาจนถึงวันนี้เธออายุ 43 ปีแล้ว แต่ย้อนกลับไปเมื่อคืนวันแรกเกิด ตัวเธอเองนั้นอยู่ในครอบครัวที่มีฐานะยากจน มีพี่น้องที่เป็นมารดาคนเดียวกันรวม 5 คน ซึ่งพี่น้องทุกคนได้มีการแจ้งเกิดและมีเอกสารการเป็นไทยทุกคน พื้นฐานครอบครัวต้องเร่ร่อนตามถิ่นฐานการใช้แรงงาน ของผู้เป็นพ่อและแม่ ไปตามจังหวัดต่างๆ โดยมีพื้นเพเดิม เป็นคนอำเภอบ้านเหลื่อม จังหวัดนครราชสีมา จากนั้น ครอบครัวของเธอได้พากันโยกย้ายถิ่นฐานการทำมาหากินไปที่จังหวัดหนองคาย โดยปัจจุบันนี้ได้แบ่งเขตการปกครองเป็นจังหวัดบึงกาฬ
และพึ่งมาทราบว่าตนเองไม่ได้แจ้งเกิดและไม่มีเลขบัตรประชาชนในทะเบียนราษฎร เมื่อตอนที่เข้าโรงเรียนที่จังหวัดหนองคาย แต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไรเนื่องจากมีการเข้าเรียนได้ตามปกติ และได้ย้ายมาเรียนต่อ ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในอำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี จนกระทั่งตัวเธอนั้นจบการศึกษาชั้นระดับ ป. 6 แล้วก็สร้างความหนักใจเธอให้เกิดขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากทางโรงเรียนไม่สามารถออกวุฒิการศึกษาให้ได้ เนื่องจากการเข้าเรียนของเธอนั้น เป็นเพียงการฝากเรียน เพื่อให้ได้มีการศึกษา แต่ด้วยระบบราชการที่ตัวเธอเองไม่มีบัตรประชาชน หรือทะเบียนราษฎร จึงไม่สามารถออกวุฒิการศึกษาให้ได้
ซึ่งนางบุปผา วิกล ยอมรับว่าในเรื่องของใบเกิดของเธอนั้น การใช้ชีวิตในครอบครัวก็ไม่ได้ทำให้เธอต้องคิดถึงว่ามีความจำเป็นแค่ไหน จนกระทั่งบางครั้งได้สอบถามไปยังมารดาของตน ก็ยังได้คำตอบว่าแม่เคยที่จะไปทำแล้วแต่ว่าไม่มีค่าใช้จ่ายในเวลานั้น จึงปล่อยผ่านเรื่องนี้มาจนปัจจุบันนี้ หลังจากนั้นเธอก็มีครอบครัว โดยสามีของเธอนั้นเป็นคนจังหวัดชัยภูมิ และได้ย้ายถิ่นฐานเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ จนเธอได้ตั้งท้องลูกชายคนแรก จึงกลับมาอยู่ที่บ้านของสามี ที่จังหวัดชัยภูมิ และได้ฝากครรภ์ไว้ที่สถานีอนามัยหรือ รพ. สต จนกระทั่งครบกำหนดคลอด เธอก็เข้ารับการทำคลอดที่โรงพยาบาลเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ ตัวเอกสารในการฝากครรภ์และการทำคลอดที่โรงพยาบาล มีเพียงผู้เป็นบิดาที่มีเอกสารครบตามทะเบียนราษฎร์ แต่ตัวผู้เป็นแม่หรือตัวเธอเองนั้น มีเพียงแค่ชื่อที่เป็นมารดาแต่ไม่มีเลขบัตรประชาชนใดๆ
“เธอยอมรับว่าการคลอดลูกในครั้งนั้น ได้มีค่าใช้จ่ายในการคลอด ประมาณ 3,000 – 4,000 บาท และได้ใช้ชีวิตที่บ้านสามี ที่จังหวัดชัยภูมิเรื่อยมาจนกระทั่ง มีบุตรคนที่สองเป็นลูกสาว โดยการเดินเรื่องฝากครรภ์รวมถึงการทำคลอดก็เป็นไปอย่างลูกชายคนแรก แต่ด้วยค่าใช้จ่ายในช่วงนั้น ที่ตัวเธอเองบอกว่าฐานะทางบ้านก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร จนกระทั่งคลอดลูกคนที่ 2 ปัจจุบันนี้ยังคงค้างค่าทำคลอดไว้กับทางโรงพยาบาลเทพสถิต 1,500 บาท จึงเป็นคำถามในใจของเธอมาจนทุกวันนี้ ว่าจะทำอย่างไรที่จะทำให้เธอเป็นคนไทยอย่างแท้จริงได้เมื่อไหร่ แต่ก็ยังไม่มีช่องทางที่จะสามารถดำเนินการได้ จึงใช้ชีวิตเรื่อยมาจนกระทั่งวันล่าสุดสามีของเธอ ได้มีรายชื่อเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกัน covid 19 (โควิด-19) โดยตัวเธอเองนั้นก็ได้เดินทางไปด้วย โดยหวังว่าอาจจะได้รับการฉีด วัคซีนเหมือนกับคนอื่นเช่นกัน แต่ผลไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพราะเธอไม่สามารถรับการฉีดวัคซีนได้
เนื่องจากเธอไม่มีบัตรประชาชนหรือเลขบัตรประชาชนใด ๆ เลย แต่เป็นจังหวะที่ดี ที่ในวันนั้นทางด้านท่านนายอำเภอเทพสถิต ได้เดินทางมาดูการปฏิบัติงานการฉีดวัคซีน จึงได้รับทราบเรื่องราว ของนางบุปผา วิกล และได้มีการแนะนำให้นางบุปผา และครอบครัวเดินทางไปที่ว่าการอำเภอเพื่อยื่นเรื่องดำเนินการตามขั้นตอน ในวันถัดมา
นางบุปผา วิกล ยังเล่าต่ออีกว่า หลังจากที่ไปพบเจ้าหน้าที่ที่อำเภอ ในวันนั้นไม่ได้พบกับท่านนายอำเภอ ทางผู้นำหมู่บ้านจึงพาเข้าพบกับปลัดฝ่ายทะเบียน ก็ได้เพียงรับฟังเรื่องราวและขอเบอร์ติดต่อกลับไว้ ยังไม่ได้รับการติดต่อกลับใดๆกลับมา เธอเองยอมรับว่า การเดินทางไปที่อำเภอในวันนั้น สร้างความดีใจ ตื้นตันใจให้กับตัวเองมาก ด้วยความหวัง ที่เธอเองนั้นจะได้เป็นคนไทยกับคนอื่นเสียที แต่ต้องรอมาจนถึงวันนี้ เป็นการรอคอยที่ยาวนานสำหรับตัวเธอเอง นางบุปผา พูดกับผู้สื่อข่าวทั้งน้ำตาว่า ตัวเองต้องการเป็นคนไทยที่มีบัตรประชาชนและมีสิทธิ์ ในความเป็นคนไทยเหมือนคนอื่นเช่นกัน เพื่อลดแรงกดดัน จากคนรอบข้าง ที่เธอเองต้องได้ยินตลอดมาว่าเป็น “คนเถื่อน”
ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางต่อไปที่ว่าการอำเภอเทพสถิต เข้าพบกับนายสิทธา ภู่เอี่ยม นายอำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ข้อมูลจากสำนักงานทะเบียนและข้อมูลจากอำเภอ พบว่าข้อมูลจากรายนี้สามารถเพิ่มชื่อได้โดย สำนักทะเบียนได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์ในการเพิ่มชื่อ โดยการยืนยันผลตรวจ DNA เพราะเท่าที่ทราบข้อมูลเบื้องต้นพบว่าผู้ร้องรายนี้ยังคงมีโอกาสที่จะทำการพิสูจน์ผล DNA กับญาติพี่น้องที่ยังคงมีชีวิตอยู่ได้ โดยการดำเนินการสำหรับผู้ร้องรายนี้ก็จะสามารถดำเนินการโดยใช้เวลาไม่นานโดยผู้ร้องสามารถเข้ามายื่นคำร้องขอทำเอกสาร เพื่อที่ทางอำเภอจะได้รวบรวมพยานหลักฐาน ออกเอกสารทำการส่งต่อไปยังมหาวิทยาลัยขอนแก่น ที่ได้ทำ MOU ไว้กับกรมการปกครอง ในการตรวจสอบพิสูจน์ DNA โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการตรวจใด ๆ ทั้งสิ้น ก็จะมีเพียงค่าใช้จ่ายในส่วนของการเดินทางและค่ากินอยู่เท่านั้น หลังจากได้รับผลการตรวจซึ่งคาดว่าน่าจะใช้เวลาประมาณไม่เกิน 3 เดือน ก็จะสามารถให้ผู้ร้องขอมีบัตรประชาชน นำผลตรวจนั้นกลับมายืนยันหากพบว่าผลตรวจนั้นการพิสูจน์ DNA พบว่าเป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกัน หรือเป็นญาติพี่น้องกันจริง ทางอำเภอก็จะสามารถเพิ่มชื่อให้ได้โดยทันที และสามารถที่จะทำให้ผู้ร้องรายนี้ได้กลับมาใช้สิทธิ์ในความเป็นคนไทย อย่างเต็มร้อยต่อไปได้
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: