ชัยภูมิ – ที่นาชาวบ้านไปทั่ว เผยชะตาชีวิตสุดรันทดหนักมีลูกชายติดยาจนคลั่งเผาบ้านทิ้ง หลังลูกชายถูกจับ ยังขู่จะออกจากคุกมาฆ่าทิ้งให้หมดยกครัว สาวผู้แม่วัย 58 ปี และคุณยายวัย 86 ปี พร้อมลูกหลานวัย 3-16 ปี รวม 5 ชีวิต ซึ่งเป็นผู้หญิงทั้งหมดต้องตัดสินใจพากันหนีออกจากบ้านเร่ร่อน พร้อมทรัพย์สินที่เหลือเป็นสิ่งสุดท้ายที่มีคือเป็ดไล่ทุ่ง 1 ฝูงที่เหลือไม่กี่ตัว พากันเดินทางออกจากบ้านหานอนตามริมทาง – ไร่นาชาวบ้านไปทั่ว!
( 8 ธ.ค.64 ) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ไปพบเรื่องราวชะตาชีวิตสุดรันทดของครอบครัวคุณยาย ที่ปัจจุบันอายุสูงวัยกว่า 86 ปี รายหนึ่ง จึงติดตามไปดูว่าทำไมหญิงชราสูงวัยรายนี้ ต้องออกมาเร่ร่อนพร้อมลูกหลานรวมกัน 5 ชีวิต ต้องพากันหอบผ้าผ่อนไปหานอนทำเพิงที่พักชั่วคราวอยู่ตามข้างถนน ตามท้องไร่ท้องนาชาวบ้านไปทั่ว ในเขตหมู่บ้านโคกแพงพวย ต.ละหาน อ.จัตุรัส จ.ชัยภูมิ โดยมีการนำพาเป็ดไล่ทุ่งอีก 1 ฝูง พามาเลี้ยงไว้พอเป็นอาชีพขายไข่เป็ดเลี้ยงสมาชิกทั้งที่เป็นผู้หญิงทั้งหมด ทั้งมีเด็ก คนชรา ลูกหลานสาว รวม 5 ชีวิตในครั้งนี้ บนที่นาชาวบ้านไปทั่ว ซึ่งก็ไม่ทราบว่าเป็นที่นาของใครก็ไม่ทราบได้
ข่าวน่าสนใจ:
- ตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ แถลงผลปฏิบัติการ “พิฆาตทรชนคนค้ายาอีสานใต้” ยึดยาบ้ากว่า 400,000 เม็ด
- กฟผ.แม่เมาะ มอบความสุข สไตล์บาหลี อินโดนีเซีย ในงานฤดูหนาวและของดีนครลำปาง
- รมว.วธ. ยินดีกับ “หลานม่า”เข้ารอบชิงรางวัลออสการ์ครั้งที่ 97 เป็น 1 ใน 15 เรื่องสุดท้าย
- ตรัง ชาวบ้านสืบสานอนุรักษ์การปลูกข้าวไร่ไว้กินเองครอบครัวเหลือขาย
ทางผู้สื่อข่าวจึงได้เข้าไปพูดคุยสอบถามที่มาที่ไป กับกลุ่มหญิง 5 ชีวิต ที่อาศัยอยู่บนผืนนาของชาวบ้านไปทั่วไปในครั้งนี้ โดยมีนางนาฏ อายุ 58 ปี เป็นผู้เปิดเผยข้อมูลเล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ตนเองและสมาชิกในครอบครัว โดยมีแม่ที่อายุ 86 ปี และหลานผู้หญิงอีก 3 คน รวม 5 ชีวิต ที่ต้องพากันระหกระเหินเร่ร่อน มาอาศัยอยู่บนพื้นที่ดินซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังไม่ทราบว่าเป็นของใคร เพื่อนำเป็ด 1 ฝูง ที่มีมาเลี้ยงไว้พอได้ประทังชีวิตในการนำไข่เป็ดไปขาย เป็นรายได้เลี้ยงสมาชิกในครอบครัวมาได้ในขณะนี้
ซึ่งเดิมก่อนจะพากันออกมาเร่ร่อนไปทั่วแบบนี้ ตนเองและสมาชิกในครอบครัวที่เห็นรวม 5 ชีวิต ต้องพากันหนีความตายออกมาจากบ้าน จากการกระทำของลูกชายที่ติดยาหนัก คลุ้มคลั่งจะฆ่าคนในบ้านทิ้งมาตลอด โดยเดิมที ก่อนหน้านี้มีภูมิลำเนาเป็นคนตำบลหนองนาแซง อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ แต่หลังจากที่ลูกชายคนโต เริ่มมีอาการคลุ้มคลั่งจากการเสพยา ความสุขคนในครอบครัวก็เริ่มหายไป จนกระทั่งเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ลูกชายคนโตมีอาการเมายาไล่ทำร้ายผู้คนในครอบครัว และขู่จะเผาบ้านตนเองทิ้ง และสมาชิกในครอบครัวจึงเกิดความกลัว จึงรีบพากันหนีออกมาจากบ้าน เพื่อที่จะขอความช่วยเหลือจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไประงับเหตุดังกล่าว และเวลาผ่านไปไม่นาน ย้อนกลับไปที่บ้านอีกครั้งพบว่าลูกชายคนโตที่เสพยาจนคลั่งได้ทำการเผาบ้านเหลือแต่ซากหมดแล้ว กลายเป็นภาพที่สุดสลดให้กับทุกคนในครอบครัว ต้องยืนดูบ้านตัวเองที่เคยอยู่อาศัย ถูกเพลิงเผาวอดวายจากน้ำมือลูกชายที่ติดยา จนเหลือเพียงเถ้าถ่านหมดแล้ว และพากันคว้ามาได้เพียงผ้าอ้อมของหลานคนเล็ก ที่อายุเพียง 3 ขวบเท่านั้น
และจากเหตุการณ์ในวันนั้นที่ผ่านมากว่าเดือนแล้ว ได้สร้างความสลดเสียใจให้กับสมาชิกคนในครอบครัวเป็นอย่างมาก ด้วยความตอกย้ำคำพูดของลูกชายก่อนถูกดำเนินคดี หากพ้นโทษออกมาจากคุกจะกลับมาฆ่าทุกคนทิ้งหมดอีก นางนาฏ วัย 58 ปี พร้อมสมาชิกทุกคนในครอบครัวรวม 5 ชีวิต ครั้งนี้ต้องตกอยู่ในความผวา ไม่กล้ากลับไปอาศัยอยู่ในพื้นที่ดินของตนเองอีกต่อไปเลยมาจนปัจจุบัน บวกกับกระแสสังคมที่ตอกย้ำว่าครอบครัวของตนอีกว่าเป็นครอบครัวที่มีเชื้อโควิด – 19 อีกด้วย จึงตัดสินใจระหกระเหินเร่ร่อนออกมา พร้อมต้นทุนชีวิตคือเป็ดไล่ทุ่ง 1 ฝูง ที่เหลือเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายในครั้งนี้ เพื่อออกเดินทางหาเร่ร่อนหาแหล่งทำมาหากินเลี้ยงเป็ดพอได้เก็บไข่ขายเลี้ยงครอบครัวมาได้ไปวัน ๆ ได้ทุกวันนี้เท่านั้น
ซึ่งในปัจจุบันนี้สมาชิกในครอบครัวเหลือเพียงแม่ที่อายุมากแล้วกว่า 86 ปี และหลานคนโตอายุ 16 ปี ที่ไม่ได้รับการศึกษาแล้ว แต่เมื่อถามความรู้สึกลึก ๆแล้วก็ยอมรับว่า อยากที่จะเรียนต่อแต่ด้วยสภาพชีวิตที่เปลี่ยนไปจึงไม่มีโอกาส ส่วนหลานคนกลางอายุ 15 ปี ต้องย้ายที่เรียนไปอยู่บ้านญาติ เข้าเรียนชั้น ม. 3 ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งในอำเภอหนองบัวระเหว และหลานสาวคนเล็กสุดวัย 3 ขวบ ยังอยู่ในการดูแลของตนเอง การใช้ชีวิตประจำวันเป็นไปด้วยความลำบาก และมีคำปลอบใจกันอยู่ทุกวันเพื่อให้เป็นการสร้างกำลังใจให้กันและกันในการดำรงชีวิตของครอบครัวเร่ร่อนรวม 5 ชีวิต ในครั้งนี้ที่ยังพอมีกำลังใจให้พากันอยู่สู้ชีวิตต่อไปให้ได้ในขณะนี้เท่าที่จะยังมีแรงเดินได้อยู่ต่อไป
ด้วยการเร่ร่อนหาที่อยู่อาศัยบนพื้นที่นาของใครก็ยังไม่ทราบได้ ไปเรื่อย ๆ ไปทั่ว จึงมีความจำเป็นที่ต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ชีวิตอยู่รอดไปวันๆเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการหลับนอน การกินอยู่ ก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก มีเพียงเต็นท์และผ้าใบกางกันลม ด้านน้ำอาหารก็ต้องไปขอจากวัดหรือตักใช้ในแหล่งน้ำซอกดินคันนา ที่ยังพอมีน้ำขังอยู่ เพื่อนำมาใช้อุปโภคบริโภคและใช้ในชีวิตประจำวันเท่านั้น ซึ่งนางนาฏ วัย 58 ปี ยอมรับว่ารู้สึกสงสารทุกคนในครอบครัว แต่ก็ไม่กล้าที่จะกลับไปใช้ชีวิต ในบ้านที่ตนเองเคยอยู่อาศัยกันอย่างมีความสุข เพราะทุกคนในครอบครัวตอนนี้ยังรู้สึกกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และต้องพากันยอมที่จะใช้ชีวิตอย่างลำบากดีกว่ากลับไปผวากับเหตุการณ์ซ้ำร้ายที่ยังฝังใจทุกคนอยู่ตลอดมาจนทุกวันนี้
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: