ชัยภูมิ – พืชผลการเกษตรนาข้าวเบื้องต้นจมกว่า 8 แสนไร่ ท่วมนานเข้าสัปดาห์ที่สองเกิดเน่าตายได้รับความเสียหายแล้วเกือบ 3 แสนไร่ เกษตรกรเดือดร้อนกว่า 2.7 หมื่นครอบครัว พร้อมประกาศปลุกคนอีสาน แจ้งเบาะแสปราบเนื้อเถื่อนทำกลไกตลาดประเทศพังนับหลายหมื่นล้าน ก่อนลุยดูน้ำท่วมนำถุงยังชีพมอบช่วยเยียวยาชาวบ้านถูกน้ำท่วม ที่ยังได้รับความเดือดร้อนอีกหลายพันครอบครัว ซึ่งคาดว่าจะต้องให้เวลาอีกนานนับสัปดาห์ สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ทั้งหมดจึงจะสามารถกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้!
ในช่วงวันที่ 13-15 ตุลาคม 2566 นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ลงพื้นที่ จ.ชัยภูมิ เพื่อเป็นประธานเปิดงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พบประชาชน ที่อาคารเอนกประสงค์ สำนักงานเกษตรจังหวัดชัยภูมิ พร้อมลงพื้นที่ออกเยี่ยมเยือนการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ จ.ชัยภูมิ และเปิดงานประชุมใหญ่ประจำปี 2566 ของสมาคมชาวไร่อ้อย จ.ชัยภูมิ
พร้อมคณะ นายคุณากร ปรีชาชนะชัย เลขานุการฯ และ ส.ส.พรรคเพื่อไทยในพื้นที่ ประกอบด้วย นายแพทย์โอชิษฐ์ เกียรติก้องชูชัย ส.ส.เขต 1 นายเชิงชาย ชาลีรินทร์ ส.ส.เขต 2 นายศิวะ พงษ์ธีระดุลย์ ส.ส.เขต อดีต ส.ส.เขต 6 นางพรเพ็ญ บูรณศิริวัฒนกุล พร้อมคณะที่ปรึกษา ผู้ตรวจราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองอธิบดีฯ ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมเปิดงานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พบประชาชน
ข่าวน่าสนใจ:
โดยมี นายสมบัติ ไตรศักดิ์ รักษาการ ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ (ผวจ.ชัยภูมิ) น.ส.อรอาภา โล่ห์วีระ รอง ผวจ.ชัยภูมิ พร้อมข้าราชการสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมรับมอบนโยบายปัญหาของเกษตรกรในพื้นที่ พร้อมมอบปัจจัยการผลิตให้เกษตรกร ก่อนร่วมกันลงพื้นที่ไปมอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักสุดอยู่ในขณะนี้ในหมู่บ้านเสี้ยวน้อย ต.บ้านค่าย อ.เมือง และ ในหมู่บ้านท่าศาลา ต.ละหาน อ.จัตุรัส
ซึ่งในขณะนี้ จ.ชัยภูมิ มีพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมมาต่อเนื่องมานานเกือบ 2 สัปดาห์แล้ว ที่ระดับน้ำเริ่มทรงตัวและยังคงท่วมในหลายพื้นที่คาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยกว่าสัปดาห์ที่จะสามารถกลับเข้าสู่ภาวะปกติได้ ที่ จ.ชัยภูมิ มีพื้นที่ถูกน้ำท่วมในครั้งนี้รวม ใน 9 อำเภอ 53 ตำบล 507 หมู่บ้าน ประชาชนได้รับความเดือดร้อน 27,626 ครัวเรือน ประกอบด้วย อ.เมืองชัยภูมิ อ.บ้านเขว้า อ.คอนสวรรค์ อ.หนองบัวแดง อ.จัตุรัส อ.หนองบัวระเหว อ.คอนสาร อ.ภักดีชุมพล และ อ.เนินสง่า พื้นที่การเกษตรที่มีการเพาะปลูกถูกน้ำท่วมรวมกว่า 8 แสนไร่ ที่มีการสำรวจมีพื้นที่การเกษตรถูกน้ำท่วม เป็นทั้งไร่อ้อย ไร่มันสำปะหลัง นาข้าว พืชผักสวนครัวอื่น ๆ ถูกน้ำท่วมที่ได้รับความเสียหาย ที่ทางเกษตรกรผู้ได้รับผลกระทบได้ยื่นเรื่องขอรับการช่วยเหลือตามระเบียบราชการประมาณ 268,700 ไร่ วงเงินมูลค่าให้ความช่วยเหลือตามหลักเกณฑ์ความเสียหายในเบื้องต้นขณะนี้รวมกว่า 468,605,838 บาท
รวมทั้งปัญหาที่ชาวบ้านในพื้นที่ จ.ชัยภูมิ ได้มีการยื่นหนังสือขอความช่วยเหลือผ่าน รมช.เกษตรฯนายไชยา ฝากผ่านถึงรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในการช่วยแก้ปัญหาริมตลิ่งผนังกั้นลำแม่น้ำชีไหลผ่านพังเสียหายจำนวนมาก และงบประมาณมาช่วยเหลือในการซ่อมแซมเปลี่ยนประตูระบายน้ำ ระบบไฟฟ้า ผ่านฝายน้ำล้น ในบ้านไร่ลำชี ต.กะฮาด อ.เนินสง่า ที่พังเสียหายอยู่ในขณะนี้ที่มีชาวบ้านเดือดร้อนอีกนับหลายร้อยหลังคาเรือน และไม่มีแหล่งเก็บน้ำไว้ใช้ยามหน้าแล้ง มีพื้นที่การเกษตรเดือดร้อนอีกนับหลายพันไร่ ในปัจจุบันด้วย
ซึ่ง จ.ชัยภูมิ เป็นจุดต้นกำเนิดของแม่น้ำชี ไหลผ่านไปหล่อเลี้ยงประชาชนทั่วภาคอีสาน หรือภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาช้านานจนปัจจุบัน หลังเกิดฝนตกสะสมจนเกิดน้ำท่วมซ้ำซากหนักอีกในปีนี้ ที่ยังจะต้องมีการจัดหางบประมาณลงมาซ่อมแซมผนังกั้นน้ำชีที่เกิดแตกถูกน้ำป่าหลากซัดพังเสียหายในหลายอำเภอ ในอีกหลายพื้นที่ของพื้นที่ จ.ชัยภูมิ ตามมาอีกจำนวนมากในครั้งนี้ด้วย
และด้าน นายไชยา พรหมา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผย ภายหลังลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์อุทกภัย และตรวจเยี่ยมให้กำลังใจ พร้อมมอบถุงยังชีพให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วม ว่า ภายใต้นโยบาย “ตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ของนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน จะช่วยให้รายได้ของเกษตรกรเพิ่มมากขึ้น จากการมุ่งมั่นผลิตสินค้าเกษตรที่มีคุณภาพ อย่างการทำเกษตรอินทรีย์ เพื่อจำหน่ายในพื้นที่ห้างสรรพสินค้า หรือส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ซึ่งมีแนวทางที่จะช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศได้อีกกว่า 10,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ได้แนะนำให้เกษตรกรใช้นวัตกรรมในการทำการเกษตร เพื่อให้มีผลผลิตที่ดีมีคุณภาพ โดยสามารถขอรับคำแนะนำได้ที่สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดชัยภูมิ รวมถึงมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาอุทกภัยในระยะยาวให้ได้โดยเร็วต่อไป
และโดยเฉพาะปัญหา”ในเรื่องปราบปรามสินค้าเกษตรเถื่อน โดยเฉพาะเนื้อเถื่อนทุกชนิดยืนยันว่ากระทรวงเกษตรฯ ที่ตนเองดูแลกรมปศุสัตว์ จะปราบปรามอย่างจริงจัง ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้กลไกตลาดเกษตรกรรายย่อยกลุ่มผู้เลี้ยงหมู โค กระบือ หรือ วัว ควาย สามารถที่จะจำหน่ายเนื้อที่มีกำไร และผู้บริโภคได้บริโภคเนื้อที่มีคุณภาพ เพราะเนื้อเถื่อนได้ทำลายระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยเรา เพียงเดือนเศษ ที่ตนเองได้สั่งการให้ปราบปรามอย่างจริงจัง ผลการจับกุม มีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท การตรวจห้องเย็นปูพรมทั่วประเทศ จึงเป็นวิธีการป้องปรามและปราบปรามควบคู่ จึงขอให้พี่น้องประชาชนและพี่น้องเกษตรกรแจ้งเบาะแสสินค้าเกษตรเถื่อน เพื่อรักษากลไกตลาดที่จะทำให้การค้าภายในประเทศเติบโต อย่างยั่งยืนมั่นคงยิ่งขึ้นด้วย
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: