ชัยภูมิ – บรรยากาศของผู้สมัครเร่งเดินสายเปิดเวทีหาเสียงใหญ่คึกคัก –สายผู้สมัครอิสระอื่นๆก็ขึ้นป้ายออกหาเสียงสู้ไม่ถอย ด้าน กกต.ประกาศเชิญชวนประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่เหลืออีกเพียง 3 วัน ที่จะเป็นวันเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 11 ส.ค.67 นี้ มีจำนวนมากกว่า 9 แสนคน ออกมาใช้สิทธิ์ใช้เสียงเลือกตั้ง “ไม่ซื้อสิทธิ์ขายเสียง”กันให้มากกว่าครั้งที่ผ่านมาที่มีผู้มาใช้สิทธิ์เกินกว่า 60 % ในครั้งนี้ด้วย !
( 8 ส.ค.67 ) ขณะที่ จ.ชัยภูมิ บรรยากาศหาเสียงเลือกตั้งซ่อมชิงตำแหน่ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ ( นายก อบจ.ชัยภูมิ ) ที่ใกล้โค้งสุดท้ายเข้ามาแล้วซึ่งเหลือเวลาเพียง 3 วันสุดท้ายก่อนถึงวันเลือกตั้งในวันที่ 11 ส.ค.67 นี้
หลังนายอร่าม โล่ห์วีระ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ ( นายก อบจ.ชัยภูมิ ) คนปัจจุบัน ที่ดำรงตำแหน่ง นายก อบจ.มาตั้งแต่ช่วงปี 2563 ได้มีการยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่ง ก่อนจะครบวาระการดำรงตำแหน่งที่เหลืออีก 180 วัน ทำให้ตำแหน่ง นายก อบจ.ชัยภูมิ ว่างลงมาตั้งแต่วันที่ 18 มิ.ย.67 ที่ผ่านมา กกต.ชัยภูมิ จัดการเลือกตั้งใหม่ ได้จัดการเปิดรับสมัครเลือกตั้งระหว่างวันที่ 8-12 ก.ค.67 ที่ผ่านมา
รวมมีผู้สมัคร 5 คน ประกอบด้วย หมายเลข 1 นางสาวสุรีวรรณ นาคาศัย ( ปุ้ย) อายุ 41 ปี หมายเลข 2 นางสาวจารุวรรณ จังหวะ ( ตั้ก) อายุ 41 ปี หมายเลข 3 นายอร่าม โล่ห์วีระ อายุ 74 ปี อดีต นายก อบจ.ชัยภูมิ ที่ลาออกก่อนครบวาระในครั้งนี้ หมายเลข 4 ว่าที่ร้อยตรี พสิษฐ์ คำชัย อายุ 56 ปี และหมายเลข 5 นายวรวุฒิ ประภามณฑล อายุ 54 ปี
ทำให้บรรยากาศการหาเสียงยิ่งใกล้วันเลือกตั้งนายก อบจ.ชัยภูมิ ในวันอาทิตย์ที่ 11 ส.ค.67 นี้ ผู้สมัครว่าที่ นายก อบจ.ชัยภูมิ ต่างฝ่ายต่างงัดกลยุทธ์เดินสายเปิดเวทีปราศรัยใหญ่หาเสียง แนะนำตัว ขอคะแนนจากประชาชนผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนตามพื้นที่ต่าง ๆ ทั้ง 16 อำเภอ ในตลอดช่วงสัปดาห์สุดท้ายที่ผ่านมากันอย่างคึกคักมาต่อเนื่อง ทั้งการใช้การติดป้ายแนะนำตัว ใช้รถติดเครื่องเสียงแห่หาเสียงไปทุกหมู่บ้าน ทุกพื้นที่มาต่อเนื่อง
ที่ครั้งนี้เป็นที่น่าจับตามองผู้สมัคร ว่าที่นายก อบจ.ชัยภูมิ ที่มีการแข่งขันกันค่อนข้างดุเดือด จาก 2 สาย พรรคการเมืองระดับชาติ จากพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ที่ส่ง นางสาวสุรีวรรณ นาคาศัย ( ปุ้ย) อายุ 41 ปี ได้หมายเลข 1 ซึ่งเป็นภรรยา นายสัมฤทธิ์ แทนทรัพย์ ส.ส.พรรคภูมิใจไทย(ภท.) เขต 3 จ.ชัยภูมิ ซึ่งเธอยังมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษา นายอนุทิน ชาญวีรกูล(หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย) รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ขณะที่ผู้สมัครหมายเลข 2 นางสาวจารุวรรณ จังหวะ ( ตั้ก) อายุ 41 ปี ซึ่งก็ยังเคยเป็นอดีต ส.อบจ.ชัยภูมิ เขตอำเภอหนองบัวแดง และยังเป็นพี่สาวของ นางสาวกาญจนา จังหวะ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.) เขต 4 จ.ชัยภูมิ อีกด้วย ส่วนผู้สมัครหมาย 3 นายอร่าม โล่ห์วีระ อายุ 74 ปี อดีต นายก อบจ.ชัยภูมิ ที่ลาออกก่อนครบวาระในครั้งนี้ ซึ่งเป็นอดีต ส.ส.รุ่นเก๋าหลายสมัย เคยเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมในรัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เมื่อช่วงปี 2539-2540 และปัจจุบันยังมีลูกชายคือ นายอัครแสนคีรี โล่ห์วีระ เป็น ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ เขต 7 ของ จ.ชัยภูมิ อีกคนที่ให้การสนับสนุนพร้อมลงพื้นที่ช่วยบิดา(พ่อ)ปราศรัยหาเสียงลงพื้นที่มาต่อเนื่องในการสู้ศึกเลือกตั้งในครั้งนี้เพื่อให้พ่อของตนเองได้กลับมาครองตำแหน่ง นายก อบจ.ชัยภูมิ อีกสมัยให้ได้ ซึ่งมีสายสัมพันธ์เหนียวแน่นกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเลขาฯพรรค พปชร.ในปัจจุบันอีกด้วย
และครั้งนี้ถือว่ามีผู้สมัครลงแข่งขันจำนวนมากรวมถึง 5 คน ที่ยังมีผู้สมัคร หมายเลข 4 ว่าที่ร้อยตรี พสิษฐ์ คำชัย อายุ 56 ปี อาชีพทนายความ ผู้สมัครอิสระ และคนสุดท้าย หมายเลข 5 นายวรวุฒิ ประภามณฑล อายุ 54 ปี อดีต ส.อบจ.เขตอำเภอเมืองชัยภูมิ ก็มีการขึ้นป้ายออกหาเสียงสู้ไม่ถอยด้วยเช่นกัน
ทำให้การเลือกตั้งโค้งสุดท้ายนับถอยหลังจากนี้ไป ยิ่งใกล้วันนับถอยวันเลือกตั้งเหลือเพียง 3 วันจากนี้ไปเพื่อเปิดคูหาให้กับประชาชนในพื้นที่ลงคะแนนในวันชิง นายก อบจ.ชัยภูมิ คนใหม่ครั้งนี้ในวันที่ 11 ส.ค.67 นี้ เป็นที่น่าจับตา”ศึกช้างชนช้าง” เดือดระอุกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา
รวมทั้งด้าน กกต.ชัยภูมิ ก็เร่งออกประกาศเชิญชวนประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งที่เหลืออีกเพียง 3 วัน ที่จะเป็นวันเลือกตั้งตรงกับวันอาทิตย์ที่ 11 ส.ค.67 นี้ ในช่วงเวลา 08.00 น.-17.00 น. ซึ่งใช้เจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้งจำนวนมากเกือบ 18,000 คน ประจำใน 1,941 หน่วยเลือกตั้ง มีประชาชนผู้สิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งครั้งนี้ในทั้ง 16 อำเภอ 124 ตำบล 1,620 หมู่บ้าน 27 ชุมชน จำนวนมากกว่า 900,000 คน จะเป็นคนชี้ชะตาตามที่แต่ละผู้สมัครได้ประกาศนโยบายหาเสียงไว้ เพื่อตัดสินใจเลือกผู้นำท้องถิ่นของตนเองให้เป็น นายก อบจ.ชัยภูมิ ในครั้งนี้ ในการออกมาใช้สิทธิ์ใช้เสียงเลือกตั้ง “ไม่ซื้อสิทธิ์ขายเสียง”กันให้มากกว่าครั้งที่ผ่านมาที่มีผู้มาใช้สิทธิ์เกินกว่า 60 % ในครั้งนี้ด้วย
