ชัยภูมิ – เมืองพญาแล จ.ชัยภูมิจัดสืบสานประเพณีหนึ่งเดียวสุดยอดมหัศจรรย์กีฬาโบราณตีคลีไฟมีให้ชมหนึ่งเดียวในโลกในประเทศไทย ปีนี้เริ่มคึกคักเพื่อเป็นการจัดกิจกรรมต้อนรับเทศกาลส่งเสริมการท่องเที่ยวส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2562 นี้ ในช่วงฤดูหนาวที่จ.ชัยภูมิ ในปีนี้จัดขึ้นมีให้ชมเพียง 2 วันระหว่าง 25-26 ธ.ค.นี้ไม่ควรพลาด!!
( 24 ธ.ค.60 ) ขณะที่จ.ชัยภูมิ นายณรงค์ วุ่นซิ้ว ผู้ว่าราชการจ.ชัยภูมิ พร้อมด้วยนายอนุชา เ จริญรักษ์ นายอำเภอเมืองชัยภูมิ และตัวแทนจากทุกภาคส่วนร่วมกัน เตรียมการจัดงานเทศกาลส่งเสริมการท่องเที่ยวช่วงฤดูหนาว เพื่อเป็นการสืบสานการแข่งขันกีฬาพื้นบ้านโบราณมหัศจรรย์ตีคลีไฟ ที่มีให้ชมเพียงหนึ่งเดียวในโลก ที่จ.ชัยภูมิของประเทศไทยเท่านั้น ซึ่งปีนี้จะจัดงานขึ้นในระหว่างวันที่ 25-26 ธ.ค.61 นี้เท่านั้น
ณ บริเวณจัดงาน ลานข้างวันแจ้งสว่าง บ้านหนองเขื่อง ตำบลกุดตุ้ม อำเภอเมือง จังหวัดชัยภูมิ ที่จะจัดสืบสานงานประเพณีโบราณแห่งนี้มาต่อเนื่องทุกปี ที่ชาวบ้านในชุมชนต่างพร้อมใจกันอนุรักษ์และสืบสานการละเล่นดังกล่าวที่มีความเก่าแก่มานานหลายร้อยปี ที่สมัยปู่-ย่า ตา-ยาย เคยเล่นสนุกสนาน พักผ่อน หย่อนใจ เพื่อเป็นการช่วยคตลายหนาวให้กับร่างกายของคนในชุมชนแห่งนี้ หลังเสร็จสิ้นจากการทำไร่ ทำนา ก่อนที่จะสูญหายไปกับกาลเวลา ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้ และพัฒนาขึ้นมาเป็นงานประจำปีต่อเนื่องจนปัจจุบัน นั่นคือการเล่นกีฬาโบราณตีคลีไฟ สู่เทศกาลมหัศจรรย์ตีคลีไฟชัยภูมิ
ซึ่งปีนี้นายอนุชา เ จริญรักษ์ นายอำเภอเมืองชัยภูมิ ได้เตรียมการนำตัวแทนทุกภาคส่วนในพื้นที่จ.ชัยภูมิ จัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อให้นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวต่างชาติให้ความสนใจเดินทางมาหาที่พักโรงแรมเพื่อรอชมงานมหัศจรรย์ตีคลีไฟหนึ่งเดียวในโลกที่หาชมได้ยากที่จ.ชัยภูมิ เพียงแห่งเดียวในเมืองไทยเท่านั้น เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้มาสัมผัสเรื่องราว ผ่านการแสดงกึ่งแสง สี เสียงตำนานตีคลีไฟ และความมหัศจรรย์ของคนเล่นไฟ ท่อนไม้ ที่ทำจากต้นนุ่น หั่นเป็นลูกกลมๆ และนำไปเผาไฟ ลูกไฟสีแดงๆที่ติดไฟลุกโชนกลายเป็นอุปกรณ์การเล่น ให้ผู้เล่นใช้เหง้าไม่ไผ่ ลักษณะคล้ายไม้ฮ๊อกกี้ หรือไม้ตีกอล์ฟ แต่ชาวบ้านที่นี่นำวัสดุตามท้องถิ่นนั่นคือเหง้าไม้ไผ่ และต้นนุ่นหรือต้นงิ้วที่มีในชุมชนแห่งนี้จำนวนมาก
ซึ่งจะนำมาใช้แข่งขันกัน ด้วยการแย่งกันตีลูกคลีไฟที่เผาแล้ว ฝ่ายไหนสามารถตีลูกไฟเข้าประตูฝ่ายตรงข้ามได้มากกว่าเป็นฝ่ายชนะ ความสนุกสนานตื่นเต้น ที่ลูกคลีจะมีแสงสีแสงไฟพุ่งสวยงาม และเป็นการช่วยคลายหนาวในช่วงฤดูหนาวของทุกปี นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาชมทุกสายตาคอยลุ้นด้วยความหวาดเสียว กลัวว่าลูกไฟจะโดนผู้เล่น แต่คนที่หวาดเสียวที่สุดคือผู้รักษาประตู ที่จะเป็นคนต้องใช้มือเปล่าจับลูกไฟ สร้างเสียงฮือฮาทุกครั้งที่ลูกไฟถูกตีมายังประตู กันอย่างคึกคักสนุกสนานไปตลอดช่วงการแข่งขันจนจบงานเป็นประจำทุกปี
โดยตามประวัติการเล่นกีฬาโบราณตีคลีไฟ มีตำนาน เล่าต่อกันมายาวนานว่าการละเล่นแบบนี้ พบเห็นคนสมัยก่อนๆในชุมชนบ้านหนองเขื่องเก่าแก่แห่งนี้มานานและเริ่มมีการจัดสืบสานแสดงโชว์กันมาต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงประมาณปี 2489 ที่เดิมมีการละเล่นกันที่บ้านหนองเขื่อง ต.กุดตุ้ม เดิมทีเรียกกันว่าตีคลีโหลน คือใช้เหง้าไม้ไผ่ ตีลูกไม้นุ่นซึ่งมีน้ำหนักเบา แข่งกันแบบตีไกล ใครตีไปได้ไกลกว่าเป็นผู้ชนะ ต่อมาก็พัฒนามาเล่นเป็นทีม เผอิญช่วงหนึ่ง อากาศหนาวมีการก่อกองไฟไว้ข้างสนาม ที่จะอยู่ใกล้บ่อน้ำหนองเขื่องประจำชุมชน ที่จะมีคนมารอลงอาบน้ำที่นี่เป็นจำนวนมากทุกวัน และลูกไม้นุ่นถูกตีเข้าไปในกองไฟ กว่าจะเขี่ยออกมาได้ ไฟก็ติดจนลุกไหม้ ด้วยความสนุกสนานติดพันในเกมส์ พอเขี่ยออกมาได้ ก็ใช้เล่นต่อไปทั้งที่ลูกไม้นุ่นยังติดไฟ เวลาไม้กระทบลูกคลี ก็จะมีประกายไฟพุ่งส่องแสงสวยงาม และสร้างความตื่นเต้นมากขึ้น
จากนั้นมา ก็เริ่มพัฒนามาจากการตีคลีโหลน จึงเปลี่ยนมานิยมเล่นตีคลีไฟ หลังจากนั้นก็เงียบหายไปอยู่พักหนึ่ง ไม่ค่อยพบเห็นการละเล่นเกือบ 1 ชั่วอายุคน ชาวบ้านหนองเขื่องบางคนยังคงจดจำภาพและเรื่องราวเอาไว้ได้ โดยเฉพาะนายอุ่น บุญชู อดีตผู้ใหญ่บ้าน ที่ปัจจุบันอายุกว่า 67 ปี ได้นำมาเล่าให้สื่อมวลชนและคณะครูนักวิชาการผู้ที่สนใจได้รับทราบ จึงเกิดแรงกระตุ้นให้เกิดการแสดงให้คณะชมรมสื่อมวลชนจ.ชัยภูมิและสมาคมนักข่าวจ.ชัยภูมิ ได้ดูและช่วยถ่ายทอด ในงานประจำปีของวัดแจ้งสว่าง ในชุมชนบ้านหนองเขื่อง และได้เป็นจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่เมื่อกว่าสิบปีที่ผ่านมา ในการฟื้นกลับมาละเล่นอีกครั้ง จนทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายในจังหวัดทราบข่าวก็ได้ช่วยกันหันกลับมาช่วยกันจัดสืบสานงานการเล่นกีฬาโบราณดังกล่าวมาต่อเนื่องกว่าช่วง 8 ปีที่ผ่านมา จนปัจจุบันได้รับงบประมาณสนับสนุนจากท้องถิ่น อบต.และจังหวัด เพื่อจัดงานเป็นงานสืบสานประเพณีโบราณเก่าแก่ที่นี่มาต่อเนื่องเป็นประจำทุกปีในช่วงต้นหน้าหนางของทุกปีเป็นต้นมา ซึ่งเป็นการช่วยกันสืบประเพณีโบราณแห่งนี้ไม่ให้เลือนหายไปมาได้จนปัจุบันมาได้จนทุกวันนี้
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: