ชัยภูมิ – ที่ดินกลับไม่ได้คืน ล่าสุดตรวจสอบพบหนังคนละม้วนยันจังหวัดทำตามขั้นตอนช่วยเหลือผู้ร้องเต็มที่แล้ว เตรียมขอให้ชาวบ้านเจ้าตัวออกมาชี้แจงต่อกรณีที่เกิดขึ้นที่มีการบุกร้องต่อพลเอกประวิตรฯ ที่ให้ข้อมูลไม่ตรงกับความเป็นจริงหวังผลอะไรกันแน่!!
( 28 มิ.ย.62 ) ขณะที่จ.ชัยภูมิ หลังเกิดกรณีการนำเสนอข่าว “ลุงป้อม”ช่วยด้วยได้ที่ดินคืน แต่กลับถูกริบหลังจบงาน ซึ่งได้มีชาวบ้าน 4 จังหวัด 30 ราย สุดระทม หลังทางการมอบโฉนดที่ดินคืนให้ดิบดี แต่พอเลิกงานกลับริบคืนหน้าตาเฉย สุดท้ายมาร้อง “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรี ให้ช่วยเหลือตรวจสอบความโปร่งใส เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา ที่หอประชุมพระนารายณ์ อาคารรัตนเทพสตรี มหาวิทยาลัยราชภัฎเทพสตรี จ.ลพบุรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ซึ่งได้ไปเป็นประธานในพิธีมอบคืนโฉนดและทรัพย์สิน คืนความสุขให้ประชาชนลดความเหลื่อมล้ำของสังคมครั้งที่ 12 โดยมีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่และผู้แทนหน่วยงานราชการต่างๆให้การต้อนรับ โดยระหว่างที่ทางพล.อ.ประวิตร กำลังเดินเข้าห้องประชุมเพื่อเปิดงานคืนโฉนดปรากฎว่า ได้มีชาวบ้านกว่า 30 ราย ที่เดินทางมาจากจังหวัดนครราชสีมา จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดขอนแก่น และจังหวัดเลย ซึ่งเป็นผู้เสียหายที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการที่ถูกริบโฉนดที่ดินคืน
ได้เดินทางมาร้องทุกข์ขอความเป็นธรรมต่อ พลเอกประวิตรฯ โดยเรียกร้องให้มีการตรวจสอบความโปร่งใสในการดำเนินโครงการ แก้ปัญหาหนี้นอกระบบและเงินกู้ดอกเบี้ยโหด ทั้งนี้ทางรองนายกรัฐมนตรีได้รับเรื่องราวร้องทุกข์ไว้พร้อมสั่งการให้ชุดทำงานศปอส.ตร. โดยพล.ต.ต.บุญลือ กอบางยาง รองผบช.ภ.4 เป็นผู้รับเรื่องราวและสอบถามข้อเท็จจริง
โดยมีนางแสงจันทร์ บุตรเขียว ชาวชัยภูมิ วัย 48 ปี เป็นตัวแทนชาวบ้านที่เดินทางไปร้องต่อพลเอกประวิตรฯในครั้งนี้ ออกมากล่าวระบุว่า ตนเป็นหนึ่งในผู้เสียหายที่นำโฉนดที่ดินไปจำนองกับนายทุนเงินกู้ในพื้นที่ อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ ซึ่งมีสุพล ผลสมบูรณ์สุข เป็นนายทุนเงินกู้ โดยได้เงินจากการจำนองโฉนดที่ดินมากว่า 300,000 บาท และตนก็พยายามที่จะไถ่ถอนแต่นายทุนให้นำเงินกว่า 1.7 ล้านบาทมาไถ่ถอน ต่อมาได้มีการดำเนินการเจรจาประนอมหนี้ในการไถ่ถอน และเข้าสู่กระบวนการในการคืนโฉนดของทางจังหวัดเมื่อครั้งที่ผ่านมา ซึ่งจัดขึ้นในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาโดยจัดคู่ขนานกับที่จ.พิษณุโลก ทั้งนี้ภายหลังจากได้รับการคืนโฉนดปรากฏว่าระหว่างที่เดินทางกลับจนถึงที่จ.ชัยภูมิ ต่อมากลับได้มีการริบโฉนดคืน ทำให้ตนนั้นเสียสิทธิ์ในการที่จะได้โฉนดกลับไปเป็นของตน จึงร่วมเดินทางมาร้องให้มีการตรวจสอบต่อพลเอกประวิตรฯในครั้งนี้ด้วย
ซึ่งหลังรับเรื่อง ด้านพล.อ.ประวิตร กล่าวว่า การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบถือเป็นหัวใจสำคัญ ที่รัฐบาลได้ขับเคลื่อนนโยบายแบบบูรณาการ เพื่อทำให้เกิดความเป็นธรรมทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม ยกระดับชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น ในวันนี้ถือเป็นครั้งที่ 12 ได้มีการคืนโฉนดให้แก่ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นพี่น้องประชาชนในจังหวัดลพบุรีและพื้นที่ภาคกลางที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการทำสัญญากู้ยืมอันไม่เป็นธรรม ซึ่งที่ผ่านมาได้ดำเนินการทั่วประเทศ โดยภาพรวมถือว่าเป็นที่พอใจ และยืนยันว่าจะเดินหน้าต่อหากได้อยู่ต่อ เพราะถือเป็น “วาระแห่งชาติ” ของรัฐบาลสมัยหน้าด้วย ขอบคุณเจ้าหนี้นอกระบบ ที่ร่วมมือ ยอมเจรจาไกล่เกลี่ย และขอบคุณตำรวจเจ้าหน้าที่ ทุกฝ่ายที่ช่วยกัน
และอยากฝากไปถึงผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์โครงการนี้ ทางรองนายกรัฐมนตรี กล่าวอีกว่า สื่อก็ต้องตอบให้ผมสิ เราก็พยายามทำให้ดีที่สุดแล้ว ยังมีประชาชนอีกกว่า 30 จังหวัด ที่ได้รับผลกระทบจากหนี้นอกระบบ ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่ดีทางรัฐบาลจึงเน้นเป็นวาระแห่งชาติ ส่วนกรณีที่มีชาวบ้านมาร้องเรียนเรื่องโฉนดตกหล่นได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เข้าช่วยเหลือแล้ว พร้อมรับปากว่าจะให้เร่งตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงว่าปัญหาเกิดขึ้นจุดใดจะได้แก้ปัญหาให้ตรงจุด ทั้งยังยืนยันด้วยว่าจะยังคงดำเนินโครงการนี้ต่อไป แต่จากนี้อาจจะขยายช่วงเวลาจากหนึ่งเดือนต่อครั้ง
ซึ่งล่าสุดเมื่อเวลา 08.30 น.วันที่ 28 มิ.ย.62 ในส่วนจ.ชัยภูมิ ที่มีผู้ร้องชาวบ้านที่อ้างว่าไม่ได้โฉนดคืนในครั้งนี้ด้วยนั้น ทางด้านนายณรงค์ วุ่นซิ้ว ผู้ว่าราชการจ.ชัยภูมิ พร้อมด้วยพล.ต.ต.สมพจน์ ขอมปรางค์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจ.ชัยภูมิ ได้มีการเร่งตรวจสอบต่อข้อร้องเรียนที่เกิดขึ้นแล้ว
โดยล่าสุดพล.ต.ต.สมพจน์ ขอมปรางค์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจ.ชัยภูมิ ออกมาเปิดเผยว่า หลังได้มีการตรวจสอบขึ้นเท็จจริงตามข้อร้องเรียนว่ามีชาวบ้านในพื้นที่จ.ชัยภูมิไปร้องถึงพลเอกประวิตรฯ ในครั้งนี้แล้ว ซึ่งเรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่ผู้ให้ข่าวผ่านสื่อมวลชนออกไปแล้วนั้น ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง และผู้ร้องที่เป็นชาวชัยภูมิ รายนี้เอง มีการให้ข้อมูลไปร้องเรียนและให้ข่าวที่ไม่ตรงตามความเป็นจริง
ซึ่งกรณีนี้ทางจังหวัดชัยภูมิ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง ได้ให้นางแสงจันทร์ บุตรเขียว ชาวชัยภูมิ วัย 48 ปี ที่ร้องกรณีที่เกิดขึ้น เข้าสู่ระบบการไกล่เกลี่ยประนอมหนี้นอกระบบของจังหวัดชัยภูมิทั้งหมดแล้ว โดยชาวบ้านผู้ร้องรายนี้เอง ตกลงที่จะไถ่ถอนที่ดินโฉนดคืนตามราคาที่ไปกู้ยืม ตามสัญญา ในราคา 381,000 บาท ในกำหนดสัญญา 1 ปี และที่ดินดังกล่าวได้หลุดเป็นของนายทุนคู่สัญญาที่ทางจังหวัดชัยภูมิสั่งดำเนินคดีไปแล้ว และได้นำเข้าสู่ขบวนการเจรจาไกล่เกลี่ยประนอมหนี้ทั้งให้สัญญา และผู้รับสัญญาผู้ร้องรายนี้แล้วเพื่อไถ่ถอนที่ดินคืน ในราคา 350,000 บาท โดยทั้ง 2 ฝ่ายกำหนดตกลงทำสัญญญาซื้อคืนกันในราคาดังกล่าวภายใน 2 เดือน ในวันที่ 16 ต.ค.2561 ที่ผ่านมา ซึ่งลูกหนี้ชาวชัยภูมิ รายนี้เองขอแบ่งชำระเองเป็น 2 งวด ในงวดแรกเดือนพ.ย.2561 ที่ผ่านมา ในราคา 200,000 บาท และงวดที่ 2 เดือน ธ.ค.2561 ที่ผ่านมา อีก 150,000 บาท ซึ่งพนักงานสอบสวนจ.ชัยภูมิ ก็เป็นตัวกลางที่เก็บโฉนดฉบับจริงนี้ไว้จากนายทุน เพื่อรอส่งมอบคืนผู้ร้องต่อไป และได้มีการดำเนินการไปร่วมรับมอบโฉนดคืนจากรัฐบาลดังกล่าวที่จ.นครราชสีมา
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือผู้ร้องไม่ทำตามสัญญาชำระเงินไถ่ถอนคืนตามกำหนดที่ตกลงในสัญญา เรื่องนี้จึงเกิดการไม่ได้โฉนดคืนขึ้นเท่านั้น เพราะที่ผ่านมานายทุนจะเรียกร้องให้ไถ่ถอนสูงถึงกว่า 1.7 ล้านบาทนั้น ทางจังหวัดชัยภูมิได้ไกล่เกลี่ยเจรจาจนนายทุนตกลงเรียกค่าไถ่ถอนคืนตามความเป็นจริงที่เคยให้กู้ไปเป็นราคา 350,000 บาทในปัจจุบัน ซึ่งเรื่องร้องเรียนต่อพลเอกประวิตรฯ ที่เกิดขึ้นว่า นายทุนเรียก 1.7 ล้านบาท นั้นไม่ตรงกับข้อเท็จจริง และสร้างความเสียหายต่อการตั้งใจทำงานของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายภายในจ.ชัยภูมิ เป็นอย่างมากด้วย ที่มีการให้ข้อมูลออกมาไม่ตรงความจริง
ซึ่งหากเกิดปัญหาในพื้นที่ควรที่จะพูดความจริงไม่ใช่ไปคิดเอง และออกมาร้องเรียนอันเป็นเท็จจริงในครั้งนี้ต้องการวัตถุประสงค์อะไร ซึ่งเป็นการทำให้นโยบายรัฐบาลที่ทุกฝ่ายต่างพากันตั้งใจทุมเททำงานเรื่องการแก้ปัญหาหนี้สินนอกระบบให้กับประชาชนทุกพื้นที่ทั่วประเทศมาต่อเนื่องอย่างเต็มที่อยู่แล้ว ซึ่งทางจังหวัดก็จำเป็นต้องสอบสวนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเพื่อให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายด้วย และส่วนผู้ร้องเองก็คงต้องออกมาชี้แจงต่อทางจังหวัดชัยภูมิ ด้วยว่าสาเหตุที่ออกมาร้องเรียนทั้งที่ข้อมูลไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เพื่อหวังโจมตีรัฐบาล และการทำหน้าของจนท.ๆ ทุกฝ่ายในครั้งนี้ว่ามีเจตนาอะไรที่แท้จริงต่อไปในครั้งนี้ด้วย
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: