ชัยภูมิ – ญาติๆของเหยื่อไปขายแรงงานในต่างแดนที่โรงงานในประเทศเกาหลี พากันออกมาร้องวอนขอไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งขอนำศพลูกชายและญาติในหมู่บ้านเดียวกันอีกศพกลับมาบ้านเกิดที่จ.ชัยภูมิ โดยเร็ว ต่างพากันเฝ้ารอรับศพด้วยความหวัง จะได้เห็นหน้าศพลูกหลานเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากไม่ได้เจอกันมานานกว่า 2 ปี วิงวอนรัฐบาลไทยช่วยหาทางนำร่างกลับบ้านเพื่อนำมาเผายังบ้านเกิดที่จังหวัดชัยภูมิโดยเร็ว!
( 13 ก.ย.62 ) ขณะที่จ.ชัยภูมิ บรรยากาศบ้านของแรงงานที่ไปเสียชีวิตประเทศเกาหลี ที่บ้านเลขที่ 406 หมู่ 6 บ้านสิลาทอง ตำบลโป่งนก อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งสภาพบ้านเป็นบ้านชั้นเดียวฝาบ้านก่อด้วยอิฐบล็อก ที่สร้างด้วยน้ำพักน้ำแรงของนายณัฐพงค์ กัณโสภา ลูกชาย วัย 28 ปี แรงงานไทยที่เสียชีวิต ที่ประเทศเกาหลี
ซึ่งนางทองใบ กัณโสภา มารดาของนายณัฐพงค์ กัณโสภา ลูกชายวัย 28 ปี ที่เสียชีวิตที่ประเทศเกาหลี และนางวรรณดี บุผาลา พี่สาว ของแรงงานไทยชาวชัยภูมิอีกราย คือนายทองมี บุผาลา วัย 34 ปี ที่เสียชีวิตที่ประเทศเกาหลีอีกคนเช่นกัน และเพื่อบ้านต่างยังคงเดินทางมาให้กำลังกับญาติทั้ง 2 ที่บ้านและนั่งจับกลุ่มพูดคุยกันถึงการเสียชีวิตของลูกชายที่ประเทศเกาหลี และชาวบ้านทุกคนที่นี่ได้ออกมาขอวิงวอน ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยหาทางนำร่างของแรงงานชาวไทย ที่เป็นชาวจ.ชัยภูมิ ทั้ง 2 ศพกลับมาบ้านเกิดที่จ.ชัยภูมิโดยเร็วในครั้งนี้ด้วย
เพื่อนำร่างกลับมาบำเพ็ญกุศลตามประเพณี ที่บ้านศิลาทอง ตำบลโป่งนก อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งเป็นบ้านเกิด ของแรงงานทั้ง 2 คน โดยต่างให้เหตุผลว่าทั้งสองคนที่เสียชีวิต ไม่มีโอกาสได้สั่งเสียกับฐาติก่อนตายจากกันเลย และที่สำคัญตั้งแต่เดินทางไปทำงานต่างประเทศเป็นเวลานานกว่า 2 ปี ยังไม่เคยเห็นหน้ากันเลย ส่วนการเดินทางไปทำงานต่างประเทศนั้น ยอมรับว่าไปแบบท่องเที่ยว ซึ่งใช้วีซ่ามีอายุเพียง 3 เดือนเท่านั้น หลังจากวีซ่าหมดอายุ ก็ไม่กลับประเทศไทยแต่อยู่แบบหลบๆซ่อนๆ หรือที่ส่วนใหญ่จะเรียกการไปทำงานต่างประเทศแบบนี้ว่าโดดทัวร์ หรืออีกอย่างเรียกตามภาษาชาวบ้านที่นี่ว่าไปแบบผีน้อย
ซึ่งด้าน นางทองใบ หนึ่งในญาติแรงงานชาวชัยภูมิที่ไปเสียชีวิตที่เกาหลีครั้งนี้ยอมรับว่า รู้ดีว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายของการเดินทางไปทำงานต่างประเทศ โดยไม่ผ่านกระทรวงแรงงาน แต่มีความจำเป็นต้องเดินทางเนื่องจากสามารถเดินทางได้ทันทีไม่ต้องรอ เพราะการรอก็ไม่ทราบว่าจะได้เดินทางหรือไม่ ที่สำคัญเพื่อปากท้องของทุกคนในครอบครัว จำเป็นจะต้องมีผู้ที่เสียสละ ส่วนค่าใช้จ่ายนั้นก็ช่วยกันไปหากู้ยืมมากว่าคนละ 8 หมื่นบาทต่อคน
โดยมีนายหน้ามาติดต่อโดยตรงที่บ้านพร้อมแจ้งรายละเอียดและขั้นตอนในการเดินทาง ตลอดจนประสานงานกับนายจ้างที่อยู่ประเทศเกาหลีไว้ก่อนแล้ว ส่วนงานที่จะทำนั้นไม่สามารถเลือกงานได้ เมื่อไปถึงครั้งแรกทั้ง 2 คนได้ไปทำงานล้างกล่องบรรจุผลไม้ หลังจากนั้นก็จะมีการเปลี่ยนนายจ้าง ไปเรื่อยๆ ส่วนรายได้ทั้ง 2 ส่งเงินกลับมาให้ทางบ้านเฉลี่ยเดือนละ 3 หมื่นบาท ทั้ง 2 คน ออกเดินทางตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2561 และทราบข่าวจากเพื่อนคนงานไทยที่อยู่เกาหลีแจ้งว่าทั้ง 2 คนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ สูดดมแก็สพิษในถังใต้ดินครั้งนี้ดังกล่าวจนเสียชีวิตขึ้น พอทราบข่าวญาติๆทางบ้านทุกคนต่างพากันแทบลมจับ
ขณะนี้ภรรยาของทั้ง 2 คนได้เดินทางไปที่ประเทศเกาหลีเพื่อหาทางนำศพของทั้ง 2 คน กลับบ้านเกิดที่อำเภอเทพสถิต จังหวัดชัยภูมิ โดยได้รับการประสานงานจากกระทรวงการต่างประเทศ แต่ยังไม่ทราบว่าการนำศพกลับมานั้นจะมาในรูปแบบใด เพราะหากจะนำร่างกลับมาแบบสมบรูณ์แบบนั้นจะมีค่าใช้จ่ายศพละกว่า 3 แสนบาท ซึ่งตนและญาติๆ ไม่มีเงินมากมายพอขนาดนั้น จึงอยากวิงวอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งช่วยเหลือในเรื่องนี้ด้วย
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: