ไร้มนุษยธรรม! สาวใหญ่โคราชร้องถูกนายทุนเงินกู้ดอกเบี้ยโหด บุกยึดทรัพย์ขับไล่ออกจากบ้านที่ดิน ไม่มีที่ซุกหัวนอน
สาวใหญ่โคราชทุกข์หนักร้องถูกนายทุนเงินกู้นอกระบบดอกเบี้ยโหดร้อยละ 48 บุกยึดบ้านขนเอาทรัพย์สินขับไล่ออกจากบ้านและที่ดินอย่างไร้มนุษยธรรม ไม่มีที่ซุกหัวนอนต้องไปอาศัยอยู่วัด และคิดฆ่าตัวตายหลายครั้ง เผยเข้าร่วมโครงการแก้หนี้นอกระบบของรัฐบาลแต่ไร้ผล เหยื่อวอนช่วยเหลือและขอความเป็นธรรม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ปิยาภรณ์ คุณชื่น อายุ 40 ปี อาชีพรับจ้างทั่วไป และนางอรพิณ หงษ์โต อายุ 60 ปี อาชีพค้าขาย ชาว จ.นครราชสีมา ได้ร้องเรียนต่อสื่อมวลมวลชนหลังจากได้เข้าร้องทุกข์ต่อศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครราชสีมา เนื่องจากไม่ได้รับความเป็นธรรมจากสัญญากู้ยืมเงินโดยการขายฝากกับนายทุนเงินกู้นอกระบบที่เรียกเก็บอัตราดอกเบี้ยเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด และเมื่อเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยตามนโยบายแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืนของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กลับไม่มีความคืบหน้า และเมื่อต้องการการซื้อที่ดินที่คืนก็ไม่ได้รับความเป็นธรรม โดยทางเจ้าหนี้ตั้งราคาสูงไม่เป็นธรรม หนักที่สุดคือเจ้าหนี้เข้ามาบุกรุกขับไล่ออกจากบ้านพักจนไม่มีที่ซุกหัวนอน
น.ส.ปิยาภรณ์ คุณชื่น เล่าว่า เมื่อปี 2556-2557 ได้ทำสัญญากู้เงินกับ “นาย ช.” นายทุนเงินกู้นอกระบบรายใหญ่ ใน จ.นครราชสีมา จำนวน 13.5 ล้านบาท และกู้เงินจากอีกราย คือ “นาย อ.” จำนวน 2.7 ล้านบาท โดยคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 และร้อยละ 4 ต่อเดือน หรือร้อยละ 36 และ 48 ต่อปี ตามลำดับ โดยเอาโฉนดที่ดินบริเวณไนท์บาร์ซ่า กลางเมืองโคราช ที่มีสิ่งปลูกสร้างเป็นอาคารพาณิชย์ให้เช่า และอีกแปลงเป็นบ้านที่อยู่อาศัยในชุมชนสืบศิริ ในเมืองโคราชไปทำสัญญากู้เงินโดยการฝากขาย
กระทั่งเมื่อปี 2558 สัญญาขายฝากขาดเนื่องจากไม่มีเงินชำระ จึงนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของรัฐบาล ตามนโยบายแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบอย่างบูรณาการและยั่งยืนที่มี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และทำข้อตกลงใหม่หลังเข้าสู่กระบวนการดังกล่าว โดยผลการเจรจาศาลมีคำสั่งว่าหากลูกหนี้ไม่เป็นบุคคลล้มละลายแล้ว เจ้าหนี้ยินยอมให้ลูกหนี้ซื้อที่ดินคืน ซึ่งสัญญาเดิมจะเป็นโมฆะทันทีเมื่อเข้าสู่กระบวนการ ในช่วงนั้นเจ้าหนี้ได้เข้าไปเก็บผลประโยชน์ คือ ค่าเช่าของอาคารพาณิชย์ เดือนละ 35,000-50,000 บาท
จากนั้นช่วงกลางปี 2563 เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเรียกไปสอบสวนเพิ่มเติมและส่งฟ้องต่อศาล แต่ในระหว่างนั้นถูกเจ้าหนี้ขับไล่จากบ้านพักและที่ดินของตนเองตลอดมา กระทั่งเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2563 เจ้าหนี้พร้อมพวกได้บุกเข้าไปทำลายกุญแจบ้านในช่วงที่ตนไม่อยู่บ้าน โดยบุกรุกเข้าไปเคลื่อนย้ายและครอบครองทรัพย์สินในบ้านพัก ตนได้เข้าไปแจ้งความข้อหาบุกรุก และเข้าชี้แจงต่อผู้อำนวยการสำนักงานบังคับคดี กระทั่งวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2564 เจ้าหนี้พร้อมพวกได้เข้ามาขนทรัพย์สินในบ้านออกไปทั้งหมด ซึ่งหลวงพ่อ (พ่อบวชเป็นพระ) ได้เข้ามาห้ามและขอร้องให้ยุติไม่ให้ขนย้ายข้าวของออกไปแต่ไม่เป็นผล เจ้าหนี้ขนของออกไปพร้อมขับไล่ตัวเองออกจากบ้านอย่างไร้มนุษยธรรม วันนี้จึงเดินทางมาขอความเป็นธรรมและขอซื้อคืนทรัพย์สินในราคาที่เป็นธรรม
“วันนี้ทุกข์หนักมาก ถูกเจ้าหนี้ไล่ออกจากบ้านและที่ดิน ไม่มีที่ซุกหัวนอน ต้องไปอาศัยนอนที่วัด คิดฆ่าตัวตายหลายครั้ง แต่สงสารพ่อที่บวชเป็นพระอยู่ซึ่งท่านแก่ชรามากแล้วเมื่อเกิดอาการเจ็บป่วยจะไม่มีคนดูแล ขณะนี้หน่วยงานรัฐไม่เข้าช่วยเหลืออะไรเลย การเข้าสู่กระบวนการประนอมหนี้ของรัฐบาลก็ไม่ได้ดำเนินการอย่างจริงจัง เจ้าหนี้ที่คิดดอกเบี้ยแพงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดก็ไม่ถูกดำเนินการใดๆ เลย ยังลอยนวลอยู่ ยังคุกคามขับไล่ยึดเอาทรัพย์คนอื่นอยู่เช่นเคย วันนี้จึงอยากขอความเป็นธรรมให้ตัวเองได้มีชีวิตเดินหน้าต่อไปด้วย” น.ส.ปิยาภรณ์กล่าว
ทางด้านนายภควัฒน์ ศิริวงศ์ เจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า ได้แนะนำให้ น.ส.ปิยาภรณ์ รอภายหลังจากพ้นล้มละลายแล้วไปเจรจาตกลงไกล่เกลี่ยต่ออัยการในการขอซื้อทรัพย์สินคืน ซึ่งผู้ร้องทุกข์แจ้งว่าได้เขียนคำร้องไว้แล้วซึ่งไม่ได้ปิดตายในเรื่องการเจรจา อย่างไรก็ตาม กรณีนี้เมื่อเข้าสู่กระบวนการศาลแล้ว ภาครัฐไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายกระบวนการได้ ทำได้เพียงการแนะนำ
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: