ครอบครัว 7 ชีวิต ยากจน ที่สามีผู้เป็นกำลังหลักของครอบครัว ทำงานอยู่เกาะพีพี จ.กระบี่ ไม่มีรายได้ เนื่องจากได้รับผลกระทบจากโควิด 19 และไม่ได้เงินช่วยเหลือ 5,000 บาท ขอบคุณน้ำใจคนไทยที่ช่วยเหลือ ประกาศขอยุติการช่วยเหลือหลังมีผู้ใจบุญบริจาคเงินเข้าบัญชีกว่า 1 แสนบาท ตั้งใจนำเงินที่ได้ใช้จ่ายอย่างอย่างประหยัด เพื่อพาครอบครัวฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจ ระหว่างที่สามียังรองานทำที่จ.กระบี่ โดยเงินที่ได้จะแบ่งซื้อที่ดินสัก 1 ห้อง เพื่อเก็บไว้สร้างบ้านให้ลูก และจะทำงานรับจ้างต่อไป ด้าน พมจ.ระบุจะเร่งตรวจสอบการยื่นทบทวนสิทธิ์ให้
วันที่ 6 พฤษภาคม 2563 จากกรณีที่ผู้สื่อข่าวได้นำเสนอข่าว ครอบครัวของนางฉวีวรรณ ไขสระ ซึ่งอาศัยอยู่กับแม่อายุ 79 ปี และลูกๆจำนวน 5 คน รวม 7 ชีวิต ภายในบ้านเช่าเลขที่ 5/2 ม.2 ต.บางเป้า อ.กันตัง จ.ตรัง กำลังประสบกับความยากลำบาก เนื่องจากหัวหน้าครอบครัว ซึ่งทำงานอยู่ในโรงผลิตกระแสไฟฟ้าเอกชนแห่งหนึ่ง บนเกาะพีพี จ.กระบี่ ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ทำให้ขาดรายได้ ไม่มีเงินส่งมาเลี้ยงดูแลครอบครัวมานานถึง 2 เดือนแล้ว โดยปกติตลอด 7 ปี ที่สามีไปทำงานที่เกาะพีพี จะส่งเงินมาให้ทางบ้านเดือนละ 2 ครั้ง คราวละ 5,000 บาท รวมเดือนละ 10,000 บาท ส่วนเงินช่วยเหลือ 5,000 บาท จากรัฐบาล ลงทะเบียนไปแล้ว ก็ไม่ได้ และถูกระบะว่าเป็นเกษตรกร ซึ่งตนเองไม่เคยมีสวน แต่ระบุไปว่ารับจ้างซักผ้า ขณะนี้ได้ยื่นทบทวนสิทธิ์ไปแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ ประกอบกับรายได้ที่ตนหาได้จากการรับจ้างซักผ้า และรับจ้างขายของไม่เพียงพอต่อการดูแลแม่วัยชรา และลูกน้อยวัยกำลังโต ได้แก่ ลูกสาวฝาแฝดสองคน อายุ 4 ขวบ , ลูกชายอายุ 8 ขวบ ,ลูกสาวอายุ 15 ปี รวมทั้ง ลูกสาวคนโต อายุ 21 ปี ซึ่งพิการทางสติปัญญาไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ทำให้ภาระทั้งหมดตกอยู่กับนางฉวีวรรณเพียงคนเดียว ทำให้ได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก แต่มีเงินช่วยเหลือบุตรแรกคลอดจากรัฐบาลของลูกสาวฝาแฝดเดือนละ 1,200 บาท และเงินช่วยเหลือคนพิการลูกสาวเดือนละ 800 บาท รวมมีเงินประจำเข้าบ้านเดือนละ 2,000 บาท จึงเดือดร้อนหนัก ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร จึงร้องขอความช่วยเหลือจากสื่อมวลชน
หลังจากการนำเสนอข่าวออกไป ทางครอบครัวของนางฉวีวรรณ ไขสระ ได้รับความช่วยเหลือจากผู้ใจบุญ บริจาคเงินผ่านบัญชีธนาคารเข้ามาเป็นจำนวน กว่า 1 แสนบาท ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้รับการติดต่อจากนางฉวีวรรณฯ เพื่อขอยุติการรับเงินบริจาคที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง
นางฉวีวรรณ กล่าวทั้งน้ำตาคลอเบ้า และยกมือไหว้ว่า ตนขอขอบคุณคนไทยทุกคนที่มอบกำลังใจ และผู้ใจบุญที่โอนเงินมาช่วยเหลือช่วยเหลือครอบครัวของตนในครั้งนี้ โดย ณ ปัจจุบันมีเงินจากผู้ใจบุญจากทั่วประเทศเข้ามาแล้วกว่า 100,000 บาท ซึ่งเพียงพอต่อการต่อสู้ให้พ้นวิกฤติโควิด 19 จึงขอยุติการรับเงินบริจาคเพียงแค่นี้ อยากให้ไปช่วยเหลือคนอื่นๆ อีกที่กำลังลำบาก ที่ผ่านมาตนเองไม่เคยรบกวนขอความช่วยเหลือจากใครมาก่อนเลย แต่ครั้งนี้ตนเองต่อสู้คนเดียวไม่ไหว และเคยคิดท้อแท้อยากคิดสั้น แต่คิดถึงลูก และสัญญาว่าจะใช้จ่ายเงินก้อนนี้อย่างประหยัด เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ครอบครัว และเชื่อว่าเพียงพอที่จะฝ่าวิกฤติของครอบครัวช่วงโควิดไปให้ได้ และตั้งใจจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งไปซื้อที่ดินเก็บไว้สัก 1 ห้อง เพื่อรอสร้างบ้านหลังเล็ก ๆ ให้ลูก ไม่ต้องอยู่บ้านเช่าอย่างทุกวันนี้ ในขณะเดียวกันถึงแม้จะมีเงินบริจาคเข้ามาตนก็ยังทำงานรับจ้างซักผ้า และรับจ้างขายข้าวเหมือนเดิม โดยมีรายได้จากการรับจ้างขายข้าววันละประมาณ 100 – 200 บาท ส่วนสามีที่อยู่เกาะพีพี ทราบข่าวว่าขณะนี้สถานการณ์เริ่มดีขึ้น คาดว่าปลายเดือนนี้สามีคงสามารถเริ่มทำงานได้ตามปกติ และจะส่งเงินมาให้ครอบครัวสำหรับดูแลลูกๆ เหมือนเดิม ในขณะเดียวกันหลังจากข่าวแพร่ออกไป ทางอบต.บางเป้า รวมทั้ง สนง.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.ตรัง และนางเอื้อจิตร เจริญทรัพย์ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดตรัง ได้เดินทางมาเยี่ยม พร้อมให้กำลังใจให้ต่อสู้กับวิกฤติ ขออย่าย่อท้อ และอย่าคิดสั้น ให้มีกำลังใจต่อสู้เพื่อลูกๆ และมอบถุงยังชีพ เพื่อเป็นการช่วยเหลือเบื้องต้น โดยเฉพาะทาง พมจ.สอบถามเรื่องการลงทะเบียนรับเงินช่วยเหลือ 5,000 บาท ที่ลงแล้วถูกระบุว่าเป็นเกษตรกรทำให้ไม่ได้เงินช่วยเหลือดังกล่าว ยืนยันจะเร่งตรวจสอบให้ ทั้งนี้ นางฉวีวรรณ ยอมรับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่าในช่วงที่ตนเองทุกข์หนัก เคยรู้สึกอยากคิดสั้น ไม่อยากมีชีวิตอยู่ แต่สงสารลูกและแม่ จึงอดทนต่อสู้ และร้องขอความช่วยเหลือจากผู้สื่อข่าวดังกล่าว จึงขอขอบคุณน้ำใจจากคนไทยทุกคนที่มอบกำลังใจมาให้ตนในครั้งนี้ และขอให้ยุติการบริจาคเงินเข้าบัญชีหมายเลขนี้ต่อไป ( บัญชีนางฉวีวรรณ ไขสระ ธนาคารออมสิน สาขากันตัง หมายเลขบัญชี 020- 265-174 -175 )
