X

สัมภาษณ์พิเศษ“สาธร”นำทัพ“ตรังพัฒนาเมืองตรัง”ขอเป็น “ลูกหมา” เฝ้า “ปลาย่าง” ให้คนตรัง


มาถึงช่วงโค้งสุดท้ายการเลือกตั้งเวทีองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.) สำหรับพื้นที่จังหวัดตรัง ทั้งตำแหน่ง “นายกอบจ.” และ “สมาชิกอบจ.” ซึ่งล่าสุดลงชิงชัยกัน 3 ขั้วหลัก เพื่อเป็นทางเลือกให้กับพี่น้องชาวตรัง และหนึ่งในผู้ลงชิงชัยที่ที่สมน้ำสมเนื้อ กับขั้วการเมืองเดิม ก็คือ “สาธร วงศ์หนองเตย” ผู้สมัครรับเลือกตั้งเบอร์ 2 และหัวหน้าทีมผู้สมัครสจ.ทีม “ตรังพัฒนาเมืองตรัง” ซึ่งทั้งเปิดตัวและลงพื้นที่หาเสียงอย่างเข้มข้นในเวลานี้
ทีม “ตรังพัฒนาเมืองตรัง” นำโดย “สาธร” ได้ประกาศนโยบาย 12 ข้อ ที่น่าตื่นตาตื่นใจ เพราะเป็นการ “เปลี่ยน” บทบาทการทำงานของ “อบจ.ตรัง” ในรูปแบบใหม่ อันมาจากการตีความอำนาจตาม พ.ร.บ.การกระจายอำนาจสู่องกรปกครองส่วนท้องถิ่นอย่างแท้จริง อย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“สาธร” เกิดที่ตลาดห้วยยอด เป็นน้องชายของ “สาทิตย์ วงศ์หนองเตย” ส.ส.ตรังพรรคประชาธิปัตย์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปัจจุบันอายุ 58 ปี จบโรงเรียนห้วยยอด มัธยมปลายโรงเรียนวิเชียรมาตุ นิติศาสตร์บัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง การศึกษาสูงสุด ปริญญาโทสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาตร์(นิด้า) นับเป็น บุคคลที่มีประสบการณ์ยาวนาน ในการรับรู้ปัญหาของเมืองตรัง และมีบทบาทสนับสนุนหลักในหน้าที่ผู้ช่วยดำเนินงานส.ส.ของ “ชวน หลีกภัย” ประธานรัฐสภานับแต่ปี 2529 กระทั่งการเลือกตั้งปี 2538 ส.ส. ตรังเพิ่มเป็น 4 เขต “สาธร” จึงมาทำหน้าที่ผู้ช่วยดำเนินงานให้กับ “ส.ส.สาทิตย์” จนถึงปัจจุบัน

“สาธร” เป็นนักกิจกรรม ทำงานภาคประชาชน นักต่อสู้ สมัยเป็นนักศึกษาเคยเป็นแชมป์ โต้วาที มหาวิทยาลัยรามคำแหงปี 2526 เป็นประธานกลุ่มนักศึกษาชาวตรัง มหาวิทยาลัยรามฯ มีบทบาทเจรจากับมวลชนตลอดจนม็อบชาวบ้านผู้ได้รับความเดือดร้อนต่างๆ ที่เข้าประชิดทำเนียบรัฐบาลในยุคที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เป็นนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะกรณีในตำนานอย่างกรณีของ “ยายไฮ ขันจันทา” ผู้เรียกร้องสิทธิจากผลกระทบจากโครงการรัฐต่อที่ดินทำกินของตัวเอง
ผู้สื่อข่าว มีโอกาสจับเข่าคุยแบบถาม-ตอบแบบตรงไปตรงมากับ “สาธร” ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งในวันที่ 20 ธันวาคมนี้ มีหลายแง่มุมที่ผู้ชายคนนี้ถ่ายทอดไว้อย่างน่าสนใจ

@ที่มาที่ไปของการตัดสินใจลงสนามครั้งนี้คืออะไร

ในฐานะที่ผมเป็นนักกิจกรรมเป็นประธานกลุ่มตรังตั้งแต่สมัยเรียนราม กิจกรรมของม.รามคือการเป็นอาสาออกค่าย เป็นที่รวมคนตรังพวกเราเคยพูดกันว่า สักวันหนึ่งเรา มีโอกาสจะกลับมาพัฒนาตรัง หลังจากนั้นก็เป็นคนทำงานทางการเมืองตั้งแต่เป็นผู้ช่วยส.ส.ตั้งแต่ปี 2529 จนถึงปัจจุบันก็เป็นผู้เชี่ยวชาญประจำตัวส.ส.ของพี่สาทิตย์ ผมมีแนวทางทางการเมืองแก้ปัญหาของชาวบ้านมาโดยตลอด โดยเฉพาะเรื่องหลักที่เราจับอยู่ก่อนหน้านี้คือเรื่องที่ดินทำกิน ก็มีโอกาสดูสิ่งที่เป็นตรัง ว่าตรังควรขับเคลื่อนด้วยวิธีคิดแล้วก็คนที่ตั้งใจจะพัฒนาเมือง น่าจะทำได้ดีกว่านี้
ผมเป็นคนวงนอกที่นั่งดูการบริหารของอบจ.ตรัง แล้วคิดว่า 20 กว่าปีที่ผ่านมา มันขาดการประสานงาน การเชื่อมลงไปพบชาวบ้านเองทุกคนก็มองว่า ในฐานะองค์กรปกครองขนาดใหญ่ ในท้องถิ่นน่าจะ พากันขับเคลื่อนสู่เป้าหมายของคนที่ทำงานการเมือง คือ การอยู่ดี กินดี ของชาวบ้าน การมีงานทำ การมีอาชีพ ก็คือเห็นจุดที่ขาดการนำเสนอต่อชาวบ้านต่อการตัดสินใจ ในการเลือกการเปลี่ยนแปลง การพัฒนาท้องถิ่นขนาดใหญ่ก็เลยตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งในครั้งนี้ 

@จากที่เฝ้าดูจากมุมนอก ในห้วงเวลา 20 กว่าปี เห็นตรังเป็นอย่างไร

คิดว่าในสายตาของพวกเราเองทุกคน ก็เห็นอยู่ครั้ง เราไปบ้านมดตะนอย อ.กันตัง เราเห็นชุมชนเข้มแข็ง ผมไปดูวิสาหกิจชุมชนที่ต.บ้านโพธิ์ เขาทำอาหารหมูขาย ซึ่งผมถามว่าเคยคุยกับอบจ.ตรังไหม เขาตอบว่าคุยกันครั้งเดียว แล้วก็เงียบไป อย่างน้อยในท้องตลาดเขากำหนดราคาหมูไม่ได้ แต่เขาสามารถกำหนดราคาอาหารหมูให้ถูกลง ดังนั้นเราจะเห็นว่ามุมของจังหวัดตรัง เรามีดีเพียงแต่ขาดการบริหารจัดการ ขาดการรับฟัง จนไปสู่กำหนดให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วม 25 ปีที่ผ่านมา อบจ.ตรังทำแต่ถนน สะพาน คนตรังมีมุมมองแบบนั้น ซึ่งทุกคนอยาก ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการเลือกตั้งครั้งนี้ นั่นคือหลักการนโยบาย 12 ข้อ เพื่อการเปลี่ยนแปลง ซึ่งพูดได้ชัดเจนว่าต้องเป็นเมืองสุจริต เพราะ ณ วันนี้มีงบประมาณที่เป็นเงินสำรอง กับเงินสะสม รวมอยู่เกือบ 3,000 ล้านบาท ผมก็นั่งคุยกับชาวบ้าน ชาวบ้านเป็นคนบอกผมว่าเราเป็นพ่อบ้าน บ้านหลังเล็กๆมีเงินฝากธนาคาร 3 ล้าน แต่พอลูกอยากจะไปเรียนต่อ เราบอกว่าไม่มีเงิน ลูกต้องออกมาตัดยางเหอะ บางคนลูกอดข้าวบอกอยากได้กับข้าวดีๆ แต่พ่อกลับเอาเงินไปซื้อปลากระป๋อง แทนที่จะได้กินกับข้าวดีๆ แทนที่ลูกจะได้กินหมู กินปลา ได้พัฒนาตัวเอง แสดงว่า พ่อบ้านมีความภูมิใจที่เก็บเงินในธนาคาร แต่เอาดอกผลแค่ 48 ล้านมาใช้

@เงินจำนวนมากขนาดนี้จะบริหารอย่างไรให้โปร่งใส

ฉะนั้นเงินที่กองอยู่ วันนี้คนตรังเข้าใจอยู่แล้วว่า ถ้ากลุ่มการเมืองที่ไม่สุจริตด้วยอาชีพหรือจะอะไรก็แล้วแต่ จะนำไปสู่รูปแบบเดิมที่ผ่านมา 25 ปี แต่การเมืองใหม่ เราประกาศการมีส่วนร่วมของประชาชน การใช้งบประมาณจากเงินสะสม เงินฝากเหล่านี้ เราจะมีเป็น “สภาเมือง” เข้ามาช่วยดูแลในเรื่องการพัฒนา การนำเงินก้อนนี้มาใช้ไปสู่การที่ชาวบ้านตรวจสอบได้ เพราะวันนี้คนกำลังเป็นห่วง เราจึงออกสโลวแกนในโค้งสุดท้ายว่า ต่อไปต้องเปลี่ยนตรัง เอาลูกหมาไปเฝ้าปลาย่าง เพราะแมวกินปลาย่างอยู่แล้วถูกต้องไหมครับ ฉะนั้นเงินก้อนนั้น ก็เหมือนปลาย่าง เราจะทำให้ตรังปลอดทุจริต ผมไม่มีธุรกิจการเมือง บ้านผมครอบครัวผม หรือว่าผมไม่มีรถแบ็คโฮสักคัน เรามีอาชีพสุจริต สิ่งสำคัญที่ทำให้ชาวบ้านตระหนักว่าการเมืองของแต่ละทีม ที่เข้ามาอาสารับใช้พี่น้อง มันเป็นทิศทางใด ในเมื่อปลาย่างรออยู่ เราจะเลือกคนแบบไหนเข้ามา ทีมของผมชัดเจนคือการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน แล้วก็เดินตามสัญญาประชาคมที่เราประกาศนโยบายเปลี่ยนตรัง

@ทำไม่ส่งผู้สมัครส.อบจ.แค่18เขต จาก 30 เขต แล้วจะทำงานได้เต็มที่ได้อย่างไร

คือการเมืองรอบนี้ไม่ปกตินะครับ ผมตั้งทีมเสร็จมีคนสนใจลงสมัครในทีมผมเกือบ 30 เขต ความหมายการเมืองไม่ปกติ คือผู้สมัครบางคนคุยกับผมเสร็จ รุ่งเช้าปิดโทรศัพท์หนีหาตัวไม่เจอ บางคนก็บอกว่าถูกเขาห้ามเอาไว้ ผมก็ไม่รู้ว่าเขาที่ห้ามคือใคร ผมก็ให้เกียรติผู้สมัครไม่ล้วงลูกว่าเขาที่ห้ามคือใคร ผมไปเจอคนกันตัง อีกคนที่บอกจะสมัครกับทีมผม แกบอกว่าอายคุณสาธรตอนแรกตั้งใจจะมาช่วย คุณสาธรเข้าใจไหมว่าการเมืองมันไม่ปกติ ผมไม่ต้องอธิบายนะเพราะพูดไปก็จะเป็นปัญหากับชีวิตผม

@สโลแกนที่ว่าเปลี่ยนตรังให้ดังกว่าเดิม คืออะไร

การเปลี่ยนแปลงให้ดังกว่าเดิมตั้งแต่การพัฒนาเมืองไปจนถึงการเปลี่ยนโครงสร้างทางการเมืองในจังหวัดตรัง เพราะผมคิดว่าระยะเวลา 25 ปี ตั้งแต่เป็นอบจ.มา เราไม่เห็นตัวผู้สมัครนายกอบจ.ทำการเมืองแบบมีส่วนร่วมของประชาชน ฉะนั้นการเปลี่ยนตรังครั้งนี้ นอกจากจะเปลี่ยนตรังให้ดังกว่าเดิมแล้ว ต้องไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเมือง โครงสร้างทางการเมืองที่ผ่านมามันเป็นโครงสร้างการเมืองผ่านตัวแทน แต่สำหรับผมคือ Change คือเปลี่ยน ไม่เหมือนเดิม การพบกับประชาชนโดยตรง รับฟังความคิดเห็นทีมผมเป็นทีมสุจริต ไม่ได้ทำธุรกิจการเมือง ฉะนั้นการเปลี่ยนหมดทุกอย่างในทางโครงสร้างการเมืองของตรัง ที่นำไปสู่การเมืองของประชาชน เสียงของคนตรังทุกคนต้องดังเท่ากัน

@การเลือกตั้งกับสังคมไทย เป็นค่านิยมไปแล้วว่าสุดท้ายแพ้ชนะกันที่ธนบัตรมากกว่า

นี่เป็นเรื่องน่าเป็นห่วง สำหรับผมในมุมมองที่ทำกิจกรรมการเมืองมาตลอด ทุกครั้งก็หวั่นไหวปัจจัยการเงิน ซึ่งก็น่ากลัวนะครับ ถ้าจำนวนเท่านี้ไม่เอาเขาจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นๆ แต่ตลอดระยะเวลาที่ผมทำงานการเมืองมา สุดท้ายแล้วหัวจิตหัวใจของคนตรัง เงินไม่เป็นปัจจัยสำคัญ คนจำนวนมากมองถึงอนาคตของลูกหลาน มองถึงปัญหาประเทศ มองถึงปัญหาจังหวัดมากกว่าปัจจัยทางการเงิน เพราะหนึ่งเสียงของทุกคนกำหนดอนาคตตรังได้

@การทำงานของอบจ.ตรังจะมีส่วนเรื่องแก้ปัญหาปากท้องของคนตรังอย่างไร

วันนี้ตรังเรามีของดี มีทรัพยากรที่ดีมากมาย เช่น ต.นาหมื่นศรี ยังคงอนุรักษ์พื้นที่ทำนาปลูกข้าว มีวิวหลักล้าน ก็มีร้านค้าผุดขึ้นมา แต่โดยขาดการบริหารจัดการ ภาพองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผมไปนั่งฟังสภาองค์กรชุมชนบอกว่าเมืองตรัง ของกินดีอาหารดีเมืองตรัง ต่อไปว่าอะไรคือของดีเมืองตรัง อาหารทะเลอาหารแปรรูป ผมไป อ.กันตัง เขาทำกะปิใส่กุ้งเคย เกลือ น้ำตาล ไม่มีอะไรเจือปน เรามีวัตถุดิบอาหารทะเล มีจ๊ะที่มาจากอ.หาดสำราญ บอกว่าของดีเมืองตรังที่มากกว่าขนมเค้ก หมูย่าง ที่ผ่านมาอบจ.ไม่ได้สนับสนุนและส่งเสริมจัดการ ตรังมีดีมากกว่าสิ่งที่เห็น ตรังเที่ยวได้ทั้งปี ทั้งหน้าฝน หน้าไฮซีซั่นส์ เพราะตรังมีตั้งแต่ทะเล ภูเขา ทุ่งนา ศิลปวัฒนธรรมประวัติศาสตร์เมืองเก่า มีวิถีชีวิต แต่อบจ.ต้องเข้ามาช่วยบริหารจัดการ แล้วรับฟังผู้ประกอบการ เป็นตัวเชื่อม เพราะอานิสงส์ คือปากท้อง รายได้ อาชีพของคนตรัง
เราต้องเลือกที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ภายใต้การจัดสรรทรัพยากรอย่างสมดุล แน่นอนคนนี้จะได้มาก คนนี้จะไม่ได้ คนนี้จะสูญเสีย แต่หน้าที่ของรัฐหรืออปท.ขนาดใหญ่ต้องไปดู ว่าในฐานะที่คุณเสียสละ เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างสมดุลของจังหวัดตรัง และในมุมมองของอบจ.จะชดเชยในสิ่งที่เขาเสียประโยชน์ได้อย่างไร มันต้องจัดสรรทรัพยากรอย่างสมดุล แล้วดูแลคนที่เสียประโยชน์ เช่น เรามีท่าเรือชาวบ้านตั้งแต่ แหลมขาม แหลมไทร ไปยังสุดท้ายถึงตะเสะและท่าข้าม ฉะนั้น 1.ท่าเรือของชาวบ้าน เพื่อให้เกิดต่อประโยชน์ความเป็นอยู่ วิถีชีวิตประจำวัน กับเพื่อสร้างรายได้จากอาชีพ การหาปูหาปลา ไปจนถึงท่าเรือขนาดใหญ่ของอบจ.ที่ทำไว้ แต่ก็หยุดนิ่งคือ ท่าเรือคลองสน และท่าเรือนาเกลือ เราจะเชิญมืออาชีพเข้ามาช่วย แนวคิดการพัฒนาท่าเรือ พัฒนาระบบโลจิสติกส์ เราต้องกลับมาฟื้นฟู ตรังเป็นเมืองยางพาราถ้า โลจิสติกส์ดี ทำท่าเรือนาเกลือให้มีความเคลื่อนไหวขึ้นมา ต้นทุนของโลจิสติกส์จะลดลงกิโลกรัมละ 3 บาท ชาวสวนก็จะได้ประโยชน์ ค่าขนส่งถูกลง การรับซื้อน้ำยางก็ราคาสูงกว่าราคาจังหวัดอื่น 

@เรื่องไหนสำคัญเป็นพิเศษที่ตั้งใจจะเข้าไปทำงาน

ทุกเรื่องสำคัญหมด เพียงแต่ต้องจัดลำดับในการทำงาน เพราะ 25 ปี ที่ผ่านมา ตรังมีเนื้อที่ประมาณ 3 ล้านไร่ ปลูกยางเกินครึ่งหนึ่ง คือ 1.6 ล้านไร่ และมีปลูกในพื้นที่ทับซ้อน ที่ดินรัฐ ไม่มีเอกสารสิทธิ์อีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งไม่สามารถขึ้นทะเบียนได้ เส้นเลือดที่หล่อเลี้ยงคนตรัง คือยางพารายางพารามีต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ วันนี้เราไปดูที่ปลายน้ำ เราเห็นว่าในพื้นที่มีการรวมกลุ่มแล้วสามารถทำผลิตภัณฑ์ออกมา คนที่เป็นสมาชิกสามารถขายน้ำยาง ได้ราคาสูงกว่าราคาตลาด ถึงกิโลกรัมละ 2 บาท ฉะนั้นอบจ.ต้องเป็นหน่วยงานที่นำร่อง ใช้ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำของยางพารา เช่น 1.การทำถนนเพื่อกระตุ้นการใช้น้ำยาง 2.หลักนำทางหรือหลักทางโค้งถนน เปลี่ยนจากปูนซีเมนต์เป็นยางพารา 3.หมอนหรือที่นอน บทบาทของ อบจ.ต้องกระตุ้น การใช้ปลายน้ำของยางพาราให้สูงขึ้น แล้วร่วมพัฒนาต้นทาง ให้ชาวสวนยางมีน้ำยางที่มีเปอร์เซ็นต์ดี ตามที่ปลายทางต้องการ กลางน้ำ เช่น ไม้ยางพารา โรงเลื่อย เราต้องพัฒนาทักษะของคนในอาชีพนี้ เกินครึ่งหนึ่งของเมืองตรังคือยางพารา เรื่องนี้จึงเป็นนโยบายสำคัญของทีม 
“สุดท้ายผมต้องฝากบอกให้คนออกมาเปลี่ยนตรัง วันที่ 20 ธ.ค.นี้ จินตนาการตรังว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมคิดว่าในร้านโกปี๊คงจะได้ยินว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องเปลี่ยน ให้ลูกหมาไปเฝ้าปลาย่าง เพราะมันคือเสียงสะท้อนของประชาชนที่บอกพวกผม ไม่ใช่ผมเขียนมาเพื่อให้ชาวบ้านคิดตามผม แต่ทุกอย่างมาจากชาวบ้านที่เขาวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องเงินหรือเรื่องอะไรก็ตาม แต่ถ้ามีการกระตุ้นจนไปสู่การเปลี่ยนแปลงจากการเมืองแบบเดิมๆ วันนี้ผมไม่ได้มาเปลี่ยนแปลงให้ดังกว่าเดิมเฉยๆ แต่ผมจะเปลี่ยนโครงสร้างการเมืองตรัง”
……..

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน