ตรัง – ครอบครัว ป.5 ร้องสื่อลูกชายถูกรุ่นพี่ รุ่นน้องนับ 10 คน รุมทำร้าย จนได้รับบาดเจ็บ เข้าแจ้งครูถูกครูประจำชั้นตีซ้ำและเมื่อผู้ปกครองเข้าพบ ร.ร. เพื่อหาทางแก้ปัญหา ไม่ให้เด็กทำร้ายกัน กลับถูกรองผู้อำนวยการพูดจาไม่ดี หัวเราะเยาะใส่ และไล่ให้ย้ายโรงเรียน พร้อมท้าทายให้ไปแจ้งตำรวจ และนักข่าว ล่าสุด เมื่อผู้สื่อข่าวไปขอสัมภาษณ์ขอคำชี้แจงและแนวทางป้องกันปัญหาถูกก็ปฏิเสธจากทางโรงเรียน ไม่ขอชี้แจง และไม่อนุญาตให้ทำข่าว ขณะที่นักการภารโรงแสดงอาการคุกคามสื่อ ออกมายื่นถ่ายภาพสื่อถึงหน้าโรงเรียน
ที่บ้านเลขที่ 99 หมู่ 2 (บ้านไชยภักดี) ต.อ่าวตง อ.วังวิเศษ จ.ตรัง นายชัยยุทธิ์ คงสง อายุ 33 ปี พร้อมด้วยนางสาวสุกัญญา มีพอเห็น อายุ 33 ปี ภรรยา ร้องเรียนผู้สื่อข่าว กรณีลูกชายคือ น้องเพ็ชร อายุ 11 ปี นักเรียนชั้น ป.5 โรงเรียนบ้านไชยภักดี ต.อ่าวตง ถูกรุ่นน้อง ป.4 นับ 10 คน และพี่ ป.6 จำนวน 1 คน รุมทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บไปทั่วตัว โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า ศีรษะ สะโพก และขา มีบาดแผลทั่วตัว มีอาการปวดหัว มึนงง ร่างกายบวมช้ำในหลายจุด โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 มกราคมที่ผ่านมา หลังพักรับประทานอาหารเที่ยง โดยครอบครัวร้องขอความเป็นธรรม หลังจากที่ลูกชายถูกทำร้าย และพ่อ แม่ ได้เดินทางไปที่โรงเรียนเมื่อวันที่ 5 ม.ค. เพื่อขอพบผู้อำนวยการโรงเรียน แต่ผู้อำนวยการฯไม่อยู่ จึงได้พบกับครูคนอื่น และมี“ครูทิพย์” (ชื่อเล่น ทราบว่ามีตำแหน่งเป็นรองผู้อำนวยการโรงเรียน) ออกมาพบ พูดจาเยาะเย้ย ถากถางใส่ ใช้คำพูดไม่ดี
โดยนายชัยยุทธิ์ คงสง พ่อน้องเพ็ชร บอกว่า ตนกับแฟนเข้าไปในโรงเรียน เพื่อต้องการจะคุยกับคุณครูถึงปัญหาที่เกิดขึ้น แต่ผู้อำนวยการโรงเรียนไม่อยู่ จึงได้พบกับครูวุฒิหรือครูดำ พูดกันก็จบแล้ว แต่ต่อมาได้มีครูทิพย์ เดินมาหาแล้วก็พูดใส่ และด่าตนเองกับแฟนว่า “ลูกตนเป็นคนที่ถูกตลอด” ตนเองเลยตอบกลับไปว่า ไม่ใช่ว่าลูกของตนถูกตลอด แต่วันนี้ตนเองมาที่โรงเรียนเพื่อต้องการที่จะให้แก้ปัญหาของเด็กที่ทะเลาะกันว่าทางคุณครูจะมีแนวทางในการแก้ไขอย่างไรบ้าง แต่คุณครูไม่ได้ให้ความร่วมมือ มีแต่เข้ามาด่าอย่างเดียว แล้วยังบอกอีกว่า “ถ้าลูกคุณอยู่โรงเรียนนี้ไม่ได้ก็ให้พาลูกย้ายออกจากโรงเรียน” นี่คือคำพูดจากแม่พิมพ์ของชาติ ตนเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าจะเป็นอย่างไร คำพูดของเขาเหมือนกันท้าทาย มีการแสดงท่าทีหัวเราะถูกใจ พร้อมท้าให้ไปพาตำรวจหรือนักข่าวมาที่โรงเรียนเลย ซึ่งตนคิดว่ามันไม่ใช่ มีลักษณะท่าทีว่าชาวบ้านอย่างตน ซึ่งเป็นผู้ปกครองเข้าไป เขาคงคิดว่าคงทำอะไรเขาไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่ ตนต้องการเข้าไปเพื่อให้หาทางแก้ปัญหา เพราะลูกชายสภาพบอบช้ำทั้งตัว ตอนกลับมาถึงบ้านเมื่อวันที่ 4 ม.ค.หลังถูกทำร้าย รอยแผลตามใบหน้ามีเลือดออกซิบๆ ตามลำตัว แขน ขา มีแต่รอยฟกช้ำดำเขียว รวมทั้งที่ศีรษะ มีอาการมึนงง จากนั้น เมื่อครูพูดเช่นนั้น ตนเองก็ตัดสินใจพาลูกชายเข้าแจ้งความทันทีลงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน พร้อมนำตัวไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล หมอก็ให้ยาแก้ปวด แก้อักเสบ มารับประทาน ลูกชายจึงมีอาการดีขึ้น นอกจากครูทิพย์ที่พูดจาเยาะเย้ย ถากถางตนเองกับแฟนแล้ว นักการภารโรงของโรงเรียนก็มาไล่ตนเอง บอกให้ตนออกไป ถ้าไม่อยากให้ครูด่า ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งเดียวเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 แล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้น้องเพ็ชร เคยถูกทำร้ายร่างกายมาแล้วหลายครั้ง บาดเจ็บที่หัวหรือตามตัว ตนเองเคยไปพบโรงเรียนแล้ว และครูทิพย์ ก็พูดจาไม่ดีมาโดยตลอด และแก้ปัญหาไม่ให้เด็กทะเลาะกันไม่ได้ รวมทั้งลูกชายคนโตด้วย เคยทะเลาะชกต่อยกันในโรงเรียนกลับบ้านมาปรากฏว่า มือหัก และทางโรงเรียนไม่ได้โทรแจ้ง ไม่ได้พาลูกหาหมอ ตนไปรับลูก จึงเห็นลูกมือหัก ครูก็ด่าว่า ลูกตนสำออย ตอนนี้ลูกชายคนโตเรียนจบ ป.6 ไปเรียนต่อ ม.1 ที่อื่นแล้ว และทางโรงเรียนก็แก้ไขหรือป้องกันปัญหาใดๆไม่ได้เลย สิ่งที่ตนเองต้องการคือ อยากให้ทางโรงเรียนดำเนินการเรื่องนิสัยใจคอของครูทิพย์ ที่พูดจาไม่ดีมาโดยตลอด ต้องปรับนิสัยของครูคนนี้ หรือย้ายครูคนนี้ออกไป และยืนยันหลังจากนี้ตนเองจะดำเนินเรื่องให้ถึงที่สุด จะมีการร้องเรียนให้ถึงที่สุดจะไม่ยอม ซึ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ทางโรงเรียนไม่สนใจจะแก้ปัญหา แต่พอมีคนเอาเรื่องไปลงเฟซบุ๊ก และแจ้งนักข่าว และพอทราบว่านักข่าวจะเข้ามาทำข่าว ก็พยายามให้คนมาเคลียร์กับตนเอง ซึ่งตนขอยืนยันจะเคลียร์ก็ได้ แต่ต้องดำเนินการกับครูทิพย์ ในเรื่องนิสัยใจคอก่อน ไม่เช่นนั้น ตนเองก็ไม่ยอมเช่นกัน ทั้งนี้ น้องเพ็ชรทะเลาะกับเพื่อนจนมีบาดแผลกลับมาเป็นครั้งที่ 4 แล้วครั้งก่อนโดนเขกหัวกลับมาบ้านจนมึนหัว ตนเองต้องพาหาหมอ และครั้งนี้ ก็ปวดตามร่างกาย มึนหัว ปวดเอว ซึ่งในตอนเกิดเหตุน้องบอกว่าตัวเองโดนรุมจากผู้ชาย ป.4 ทั้งห้อง ซึ่งตนเองก็ไม่ทราบว่ากี่คน แต่ที่น้องบอกชื่อได้ประมาณ 5-6 คน แต่น้องจำไม่ได้เพราะน้องโดนซ้อม
ด้านนางสาวสุกัญญา แม่ (แม่เลี้ยง) บอกว่า ตอนนั้นที่ได้เข้าไปคุยกับคุณครู บอกว่า”ให้พาตำรวจมาเลย ลูกของคุณอยู่โรงเรียนไม่ได้ก็ให้ย้ายโรงเรียนไปเลย” และมีลักษณะท่าทีหัวเราะเยาะใส่ แล้วภารโรงก็ยังไล่ให้เรากลับ ก็รับไม่ได้ หลังจากนั้นเราก็ได้เข้าไปแจ้งความ เกิดเหตุการณ์ครั้งนี้มาหลายครั้งแล้วน้องจะโดนทำร้ายที่บริเวณศีรษะและตามตัว
ทางด้านน้องเพ็ชร บอกว่าเกิดเหตุวันที่ 4 ม.ค.63 ซึ่งคู่กรณีได้มาท้าต่อยตนเอง แต่ตนเองไม่ได้ท้าต่อย แต่ครูมาบอกว่าตนไปท้าชกต่อยเขาแต่ตนไม่ได้ท้าชกเขา แต่ตนเองจำชื่อไม่ได้ ซึ่งในตอนแรกเด็กที่ชื่อภูมิมารัดคอตัวเอง ทำอะไรเขาไม่ได้ พอพักเที่ยงกินข้าวเสร็จ ครูให้นั่งสมาธิ จากนั้นตนจะไปเข้าห้องน้ำ เพื่อจะเข้าเรียนต่อในภาคบ่าย ก็มีรุ่นพี่ ป.6 อีกคนเข้ามา ก็ชกต่อกับตนที่หน้าห้องน้ำ และรุ่นพี่ ป.6 ก็ผลักตนเองไปชนกับเด็กอีกคน ปากตนชนกับปากเด็กคนนั้น ทำให้เด็กคนนั้น ซึ่งตนจำชื่อได้ก็ชกตนเองทันที จากนั้นก็ชกกัน สุดท้ายตนก็ถูกรุ่นน้อง ป.4 ออกมารุมตนเดียว ออกมากันหลายคน โดยเริ่มต้นตนเองชกกับรุ่นพี่ ป.6 ที่ชื่อบ่าว ตัวต่อตัว เพราะบ่าวมาด่าแม่ของตนเองก่อน พอตนเองด่ากลับรุ่นพี่ก็ชกตนเลย ซึ่งตอนเกิดเหตุไม่มีคุณครูอยู่ หลังจากนั้นตนเองก็โดนรุม ต่อมาได้ไปบอกครูว่าตนเองโดนเด็ก ป.4รุม แต่คุณครูประจำชั้นกลับมาตีตนเองซ้ำ ทั้งนี้เคยมีเหตุทะเลาะกันบ่อยครั้ง ตอนนี้ก็ยังรู้สึกกลัว ไม่อยากไปโรงเรียน
ทางด้านนางละออง คงสง อายุ 74 ปี ย่าของน้องเพ็ชร บอกว่า พอรู้เรื่องดังกล่าวก็คุยกับพ่อของน้อง แล้วก็พาลูกไปโรงพยาบาล โดยหลานมาบอกว่าเจ็บที่บริเวณหลังและเอว และป้าก็เลยโทรบอกพ่อของเขาให้มาพาลูกไปโรงพยาบาล หลานบอกว่ามีเด็ก 1 คนผลักน้องและไปกระแทกเอากับอีกคน จากนั้นก็ชกต่อยกัน โดยหลานบอกว่าโดนรุม ซึ่งจากเหตุการณ์ตรงนี้ก็อยากให้ดำเนินการเอาเรื่องจนถึงที่สุด และอยากให้หลานเรียนหนังสือจนจบ ป.6 จากโรงเรียนนี้ หากหลานไปโรงเรียนก็มีความกังวลแต่อยากฝากให้คุณครูช่วยดูแลให้ถึงที่สุด อย่าให้มีเรื่องกันอีก
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ หลังทางโรงเรียนทราบว่า ได้มีผู้สื่อข่าวเดินทางไปทำข่าว ก็พยายามให้คนติดต่อขอไปให้เข้าเคลียร์ปัญหากัน แต่ในที่นี้ ทางนางราตรี ผ่องแผ้ว ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านไชยภักดี ก็ออกมาพบผู้สื่อข่าว ไม่อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวเข้าไปทำข่าว และไม่ขอชี้แจงใดๆ ถึงเรื่องดังกล่าว และมาตรการหลังจากนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กทะเลาะกันอีก โดยปฏิเสธที่จะให้สัมภาษณ์ทั้งก่อนประชุม และหลังประชุม โดยบอกให้ผู้สื่อข่าวกลับไป จากนั้น นักการภารโรง ก็ยังแสดงอาการคุกคามสื่อ โดยการตามออกมาถ่ายภาพสื่อที่บริเวณหน้าโรงเรียนด้วย
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: