เด็ก ป.5 ที่ถูกรุ่นน้อง และรุ่นพี่นับ 10 คน รุมทำร้ายจนร่างกายจนได้รับบาดเจ็บหวาดกลัวครูและเพื่อนไม่กล้าไปโรงเรียนแล้ว 5 วัน ขณะที่พ่อระบุ ทางโรงเรียนเรียกไปพูดคุยแต่ไม่ได้พูดแนวทางการป้องกันไม่ให้เด็กทำร้ายร่างกายกัน และทางโรงเรียนยังไม่ได้ดำเนินการใดๆ กับครูที่พูดไม่ดีใส่ตน ล่าสุด มูลนิธิปวีณาติดต่อหากเรื่องไม่คืบจะเข้ามาช่วยเหลือ
วันที่ 11 มกราคม 2564 จากกรณีพ่อและแม่ของน้องเพชร นักเรียนระดับชั้น ป.5 โรงเรียนบ้านไชยภักดี ต.อ่าวตง ครอบครัว ร้องเรียนผู้สื่อข่าวกรณีลูกชายถูกรุ่นน้อง ป.4 และรุ่นพี่ ป.6 นับ 10 คน รุมทำร้าย จนได้รับบาดเจ็บตามบริเวณใบหน้า ปาก ร่างกาย ชายโครง แขน ขา และแผ่นหลัง เพราะการถูกชกต่อย และถูกรุมกระทืบ และมีอาการมึนงง โดยที่ทางโรงเรียนไม่ได้ดำเนินการใดๆ นักเรียนที่ร่วมกันก่อเหตุทะเลาะวิวาทดังกล่าว เหตุเกิดหลังพักเที่ยง บริเวณหน้าห้องน้ำของโรงเรียน เมื่อวันที่ 4 มกราคมที่ผ่านมา โดยต่อมาวันที่ 5 มกราคม หลังเกิดเหตุ ผู้ปกครองได้เข้าไปในโรงเรียน เพื่อจะสอบถามกับทางโรงเรียนถึงเรื่องที่เกิดขึ้น และแนวทางการแก้ปัญหาป้องกันไม่ให้เด็กนักเรียนทะเลาะกัน แต่ถูก “ครูทิพย์” พูดจาไม่ดีใส่พ่อแม่ โดยไล่ให้พ่อย้ายลูกไปจากโรงเรียน และให้ท้าท้ายให้ไปแจ้งตำรวจและนักข่าว ทำให้พ่อ แม่ของเด็กผิดหวัง และเสียความรู้สึก ไม่พอใจเป็นอย่างมาก จากนั้นทั้ง 2 คน จึงได้พาลูกเข้าแจ้งความที่ สภ.วังวิเศษ อย่างไรก็ตาม หลังทางโรงเรียนทราบว่ามีการนำภาพของเด็กที่ถูกทำร้ายไปลงเฟซบุ๊กและร้องเรียนผู้สื่อข่าว ทำให้ทางโรงเรียนเกิดความไม่พอใจ และข่มขู่จะแจ้งความดำเนินคดีในข้อหากระทำความผิดเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์กับผู้เผยแพร่ภาพทำให้โรงเรียนเสียหาย และจากนั้นได้พยายามเรียกผู้ปกครองไปพูดคุยเพื่อเจรจาไกล่เกลี่ยที่โรงเรียน และให้อีกหลายคนเข้าไปเจรจา เพื่อขอไกล่เกลี่ย
ล่าสุด นายชัยยุทธิ์ คงสง อายุ 33 ปี พ่อของน้องเพชร กล่าวว่า ทางตำรวจได้เรียกตนเองและภรรยาไปสอบสวนปากคำเพิ่มเติม ซึ่งความคืบหน้ายังไม่มีอะไรเกิดขึ้น เนื่องจากพนักงานสอบสวน ยังสอบแต่กับผู้ปกครองคนเดียว ส่วนคนอื่นๆยังไม่ได้เรียกสอบ ทั้งนี้ เฉพาะเรื่องของเด็กที่ทะเลาะกันนั้น ส่วนตัวคิดว่าไกล่เกลี่ยกันได้ แต่ประเด็นกับครูทิพย์ ส่วนตัวไม่ยอมแน่นอน และต้องการจะเอาผิดด้วย ด้วยเหตุผลว่าตั้งแต่วันที่เกิดเหตุจนถึงวันนี้ ยังไม่มีครูมาเจรจาส่งเพียงตัวแทนเข้ามาคุยกับตนเท่านั้น โดยครูไม่เคยออกมาคุยหรือว่ามาเจรจาอะไรเลยสักครั้งเดียว และในวันที่เจรจากันที่โรงเรียน ทางโรงเรียนก็ไม่ได้ให้ครูคนนั้นเข้ามาร่วมเจรจาด้วย ล่าสุด ทางโรงเรียนก็ยังไม่มีมาตรการใดๆออกมา ทั้งกับครูที่พูดจาใส่ตน และมาตรการป้องกันเด็กไม่ให้ก่อเหตุทะเลาะวิวาทกันอีกในโรงเรียน ในขณะที่ลูกชายยังมีอาการหวาดกลัว ทั้งกลัวครู และกลัวเพื่อน ไม่กล้าไปโรงเรียน และบอกกับตนว่าอยากจะย้ายโรงเรียน จึงอยากเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าดูและช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุมาจนถึงวันนี้ วันที่แผลตามตัวของลูกตนหายแล้ว ก็ยังไม่มีใครติดต่อเข้ามา หรือมาเยี่ยมลูกชายตนเลยแม้แต่คนเดียว นอกจากนั้น ในส่วนของผู้ใหญ่บ้าน ยังได้ระดมเครือข่ายผู้ปกครองไปมอบดอกไม้ให้กำลังใจครู ทั้งๆ ที่ครอบครัวของตน ลูกตนเป็นคนถูกกระทำจนได้รับบาดเจ็บ แต่ผู้ใหญ่บ้านไม่เคยเข้ามาดูแล หรือให้กำลังใจลูกและครอบครัวตนเลย จึงอยากจะถามไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องระดับอำเภอ และจังหวัดว่าการกระทำของผู้ใหญ่บ้านคนดังกล่าวเหมาะสมหรือไม่
นายชัยยุทธิ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนั้นครูกล่าวอ้างว่าการทะเลาะวิวาทเป็นเรื่องที่ของเด็กพิเศษ ส่วนตัวยืนยันว่าจากผลตรวจทางโรงพยาบาลไม่มีการยืนยันว่าลูกของตนเป็นเด็กพิเศษแต่อย่างใด แต่ครูกลับตั้งข้อสังเกตุขึ้นมาเองว่าลูกตนอยู่ในกลุ่มเด็กพิเศษ ทั้งๆ ที่ผ่านมาครูเคยแนะนำให้ตนมาลูกไปตรวจ ตนก็พาไปตรวจแล้ว 3 ครั้ง รวมทั้งไปตรวจถึงจังหวัดนครศรีฯ ซึ่งผลปรากฏว่าน้องไม่ได้อยู่ในเด็กพิเศษ เป็นเด็กปกติ แต่ครูยังกล่าวหาว่าลูกตนเป็นเด็กพิเศษ
ข่าวน่าสนใจ:
นอกจากนั้นจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีคนเข้าไปคอมเมนท์ในเฟซบุ๊ก กล่าวหาตนให้เสียหายว่าระบุข้อความว่า “ครูไม่ได้มีเจตนาจะท้าทาย แต่อยากข่มขู่ให้เด็กคนนั้นปรับเปลี่ยนนิสัย เพราะเด็กคนนี้ชอบหาเรื่องคนอื่น หาเรื่องเพื่อน ที่ผ่านมาเด็กคนนี้ทะเลาะกับคนอื่น จนพ่อของเขาเรียกค่าเสียหายแล้วจำนวน 2,000 บาท จากครอบครัวคู่กรณี” ซึ่งตนขอยืนยันว่าไม่เคยเรียกร้องค่าเสียหายจากใครเลย จึงเรียกร้องให้ผู้ใช้เฟซบุ๊กคนดังกล่าวออกมาชี้แจง ว่าตนไปเรียกรับเงินใครแล้ว ให้พาพยานคนที่ตนรับเงินมายืนยันด้วย ที่ผ่านมาลูกชายตนบาดเจ็บมีแผลกลับมาบ้านถึง 3 ครั้ง ตนเองก็ไปพบโรงเรียนทุกครั้ง ไม่เคยเรียกเงิน ไม่เคยเรียกค่ารักษาพยาบาลจากใคร ซึ่งเรื่องนี้ตนได้แจ้งความเอาผิดกับคนที่เข้าคอมเมนท์ดังกล่าวทำให้ตนเสียหายแล้วเช่นกัน และล่าสุด ตนเองได้รับการติดต่อจากมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ติดต่อมาหา หากเรื่องไม่คืบหน้าอย่างไร จะเดินทางลงพื้นที่เข้ามาช่วยเหลือ
ทางด้านน้องเพ็ชร กล่าวว่า ตนไม่กล้าไปโรงเรียน เพราะกลัวเพื่อนๆ จึงไม่กล้าไปเรียนแล้ว ยืนยันอยากไปโรงเรียน แต่กลัว ไม่กล้าไป และอยากจะย้ายโรงเรียน
ถูกใจข่าวนี้ไหม?
คลิกที่ดาวเพื่อโหวต
ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต: