X

ตรัง แม่ฝ่ายชายปฎิเสธสิ้นเชิงลูกชายไม่ได้ลักพาตัวคู่หมั้น

แม่ฝ่ายชายปฏิเสธยืนยันลูกชายไม่ได้ลักพาตัวคู่หมั้นหนีไปจากบ้าน จนขาดการติดต่อกับทางครอบครัวฝ่ายหญิงนาน 4 เดือน ทำครอบครัวห่วงหนัก กลัวลูกจะเกิดอันตราย เพราะติดต่อลูกไม่ได้ และฝ่ายชายก็ปฏิเสธไม่ได้พาไป  ด้านแม่ฝ่ายหญิงประกาศหากติดต่อลูกไม่ได้ จะไปถือป้ายประท้วงการทำงานของตำรวจ สภ.ห้วยยอด เพราะแจ้งความคนหายนาน 4 เดือน (นับจากวันหายตัว) คดียังไม่คืบ  ขณะที่ผู้นำชุมชนยืนยันฝ่ายหญิงแม้จะบรรลุนิติภาวะแล้ว แต่เป็นเด็กดี อ่อนต่อโลก ไม่มีสังคม ไม่เคยเที่ยวเตร่ ไม่เคยคบผู้ชาย อยู่แต่กับแม่ไม่เคยห่างบ้าน ไปไหนไกลไม่ถูก เชื่อถูกฝ่ายชายล่อลวงไป วอนตร.เร่งติดตามตัว เพื่อให้ทราบข่าวคราวว่า เป็นตายร้ายดีอย่างไร และให้เรียกตัวฝ่ายชายมาสอบปากคำ เพื่อเค้นหาความจริง กลัวจะเกิดความไม่ปลอดภัยขึ้นกับฝ่ายหญิง

วันที่ 16 มีนาคม 2564  จากกรณีที่นางระเบียบ ช่วยบำรุง อายุ 61 ปี ชาวบ้าน ต.ท่างิ้ว อ.ห้วยยอด จ.ตรัง พร้อมด้วยญาติ นำหลักฐานภาพถ่าย และข้อความพูดคุยกันทางกล่องข้อความเฟสบุ๊กที่นายดลรอหีม (ดน-รอ-หีม) นันโอ๊ะ ชาว อ.เทพา จ.สงขลา ได้แชทชักชวนให้นางสาวสุภัสสร ช่วยบำรุง หรือ น้องกล้วย อายุ 21 ปี หลับหนีไปด้วยกันจากบ้านที่ ต.ท่างิ้ว อ.ห้วยยอด เมื่อเวลาประมาณ 12.30 น. ของวันที่ 14 ธันวาคม 2563 หลังจากได้พบกันหน้าและรู้จักเพียง 2 ครั้งในเวลาเพียง 2 วันติดต่อกัน และทำพิธีหมั้นกันในวันที่ 2 ที่พบกัน  (พบกันวันที่ 25 พ.ย.หมั้นกันวันที่ 26 พ.ย.63)  จากการแนะนำของแม่ และพ่อเลี้ยงฝ่ายชาย หลังจากนั้นทั้ง 2 คน พูดคุยติดต่อกันทางโทรศัพท์และเฟสบุ๊กได้เพียงแค่ประมาณ 20 วันเท่านั้น  จากนั้นน้องกล้วยได้หายไปจากบ้านตั้งแต่วันดังกล่าว จนบัดนี้ทางครอบครัวไม่สามารถโทรศัพท์ติดต่อได้   ขณะที่นายดลรอหีม ซึ่งเป็นคู่หมั้นได้เพียงประมาณ 20 วัน ก็ปฏิเสธว่าน้องกล้วยไม่ได้ไปกับตนเอง เช่นเดียวกับแม่ของฝ่ายชายก็ปฏิเสธเช่นกันว่าลูกชายไม่ได้ลักพาตัวน้องกล้วยไป โดยทางครอบครัวได้เข้าแจ้งความคนหายไว้ที่ สภ.ห้วยยอด เพื่อให้ตำรวจช่วยติดตามตัว ตั้งแต่วันที่ 15 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา แต่จนถึงขณะนี้คดียังไม่มีความคืบหน้า

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่หมู่ 3 ต.ท่างิ้ว อ.ห้วยยอด เพื่อพบกับนางไอริสทร์ เจ๊ะเอียด  ซึ่งเป็นแม่ของนายดลรอหีม ภูมิลำเนาเดิมอยู่บ้านเลขที่ 34 หมู่ 4 ต.สะกอม อ.เทพา จ.สงขลา  แต่มามีสามีใหม่และพักอาศัยอยู่บ้านเช่า ทำอาชีพค้าขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ในพื้นที่ เพื่อสอบถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น โดยนางไอริสทร์  กล่าวยืนยันว่า ลูกชายไม่ได้ลักพาตัวหรือพาตัวน้องกล้วยไปแน่นอน ตนยืนยันได้ เพราะตนได้สอบถามกับลูกชายแล้ว ซึ่งปกติลูกชายตนหากมีอะไร จะบอกตนตลอดไม่เคยปิดบัง และเชื่อฟังแม่ จะไม่เคยขัดคำสั่งแม่ เพราะตนสั่งห้ามแล้วไม่ให้แต่งกับกล้วย เพราะหลังหมั้นก็ตั้งใจจะแต่งงานในวันที่ 27 ธันวาคม 63 เพราะหากแต่งแล้วต้องมาอยู่ที่บ้านฝ่ายหญิง ตนไม่ให้เอา จึงสั่งห้ามลูก และลูกชายก็เชื่อฟังตน ลูกชายจึงไม่ได้พาหนีไปด้วยแน่นอน และผู้หญิงก็ไม่เคยรู้จักบ้านตนที่จ.สงขลา โดยตนก็เคยสุ่มกลับไปบ้านที่ อ.เทพา จ.สงขลา โดยไปในเวลากลางคืน ก็ไม่พบผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่บ้าน  ส่วนที่บอกว่าไม่ให้ลูกชายเอาฝ่ายหญิงแล้ว แต่เป็นผู้แนะนำและนัดพาลูกชายมาดูตัวและพบหน้ากันเพียงครั้งเดียว และรีบหมั้นในวันรุ่งขึ้นทันที นางไอริสทร์ กล่าวอ้างว่า แรกเพราะเห็นว่าผู้หญิงเป็นคนดี ไม่เที่ยวเตร่ อยู่แต่กับบ้าน ไม่มีแฟน แต่พอรู้ว่าหากแต่งแล้วต้องให้ลูกชายตนมาอยู่ที่นี่ ตนก็บอกลูกชายให้ยกเลิก  ทั้งนี้ หลังจากหมั้นแล้วลูกชายตนก็กลับบ้านที่ จ.สงขลา ทันที ไม่ได้กลับมาที่นี่อีกเลย โดยฝ่ายหญิงก็ไม่รู้จักบ้านของตนที่จ.สงขลา และลูกชายไม่ได้พาฝ่ายหญิงไปที่บ้าน จ.สงขลา แน่นอน

อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่ผู้สื่อข่าวซักถาม เรื่องที่นางไอริสทร์ได้ให้ข้อมูลกับมูลนิธิกระจกเงา เรื่องแหวนหมั้น หนัก 1 สลึง ที่ฝ่ายหญิงคืนให้ฝ่ายชายแล้ว ว่าไปคืนกันตอนไหน หากไม่ได้พบกันตามที่แม่กล่าวอ้าง นางไอริสทร์  ตอบว่า  ฝ่ายหญิงเดินทางไปหาลูกชายตนเองที่บ้านที่ ต.สะกอม อ.เทพา จ.สงขลา โดยไปพร้อมเพื่อนรวม 4 คน ประกอบด้วย ผู้ชาย 1 คน และเพื่อนผู้หญิงอีก 2 คน ไปหาลูกชายตนเองที่บ้าน จากนั้นฝ่ายหญิงเอาแหวนหมั้นคืนให้ลูกชายและบอกว่าจะเดินทางต่อไปทำงานที่ประเทศมาเลเซียกับเพื่อนที่พาไปด้วย 
 เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า แม่ทราบข้อมูลนี้ได้อย่างไรในเมื่อลูกชายบอกว่า ฝ่ายหญิงไม่เคยไปหา ลูกชายก็ไม่เคยกลับมาที่บ้านฝ่ายหญิง และแม่ก็บอกฝ่ายหญิงไม่รู้จักบ้านที่ จ.สงขลา นางไอริสทร์  ตอบว่า ลูกชายตนไม่ยอมรับ แต่หลานชายอีกคนเป็นคนบอกว่า ฝ่ายหญิงไปหาลูกชายตนกับเพื่อน ส่วนที่มีหลักฐานจากเฟสบุ๊กว่า ลูกชายตนเองนัดแนะมารับฝ่ายหญิงตนไม่ทราบ ถามลูกชายแล้วลูกบอกว่าแชทคุยกันจริง แต่ไม่ได้มา เพราะเจ้านายให้ไปทำงานอื่นเสียก่อน  คิดว่าคงมีความพยายามจะหลอกลูกชายตน  และลูกชายไม่มาที่นี่โดยไม่บอกตนแน่นอน เพราะลูกชายจะเชื่อฟังตนมาก ไม่เคยปิดบัง และไม่เคยขัดคำสั่งแม่ และยืนยันลูกตนไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งตน

จากนั้นผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านเลขที่ 175 ม.8 ต.ท่างิ้ว พบกับนางระเบียบ แม่ของน้องกล้วย แม่ก็ร่ำไห้วอนขอให้ตนเองติดต่อพูดคุยกับลูกสาวได้บ้าง จะได้ไม่ต้องเป็นห่วง หากลูกสาวยังมีชีวิตอยู่ และฝ่ายชายไม่ได้ส่งต่อลูกสาวไปให้ใคร แค่ได้ยินเสียงก็พอแล้ว จะได้ไม่ต้องร้องให้ นอนไม่หลับ และตนเองมีโรคประจำตัวคือ ความดัน และมีอาการป่วยทางจิต ต้องพบแพทย์กินยาเป็นประจำ พร้อมประกาศครบ 4 เดือนวันที่ลูกสาวหายไป ตำรวจยังติดตามลูกสาวไม่ได้ ตนเองเตรียมจะเอาป้ายไปประท้วงการทำงานของตำรวจที่หน้า สภ.ห้วยยอด พร้อมพาผู้สื่อข่าวดูรถจักรยานที่ลูกสาวใช้เป็นประจำเวลาออกไปซื้อของ ซื้อขนมหน้าโรงเรียน และพาไปดูบริเวณหน้าศูนย์ กศน.ต.ท่างิ้ว ซึ่งอยู่ภายในโรงเรียนบ้านใสมะม่วง ห่างจากบ้านเพียงเล็กน้อย จุดที่ลูกสาวนำรถจักรยานมาล้มเอาไว้กลางถนนหน้าโรงเรียน โดยไม่ทันได้จอดให้เรียบร้อย ทั้งๆที่หน้าโรงเรียนมีพื้นที่กว้างขวาง จึงเชื่อว่าเมื่อลูกสาวหนีแม่ออกมาพบฝ่ายชายตามที่ฝ่ายชายนัดหมายแล้ว  (ตามหลักฐานข้อความ) เมื่อฝ่ายชายมาถึงคงรีบดึงตัวขึ้นรถโดยไม่ทันได้จอดจยย.ให้เรียบร้อย เพราะคงไม่อยากให้คนเห็น

ทางด้านนายประเสริฐ ทองชู ผู้ช่วยกำนัน ต.ท่างิ้ว กล่าวว่า  เห็นน้องกล้วยมาตั้งแต่เล็ก น้องกล้วยเป็นเด็กดี ไม่เคยเที่ยวเตร่ อยู่แต่กับบ้านกับแม่ ไม่เคยไปไหนเพียงลำพัง หากไปก็ไปกับแม่ หรือพ่อเลี้ยงบรรทุกไปซื้อของ ยกเว้นปั่นจักรยานออกไปซื้อกับข้าว ซื้อขนม น้ำ ที่ร้านค้าหน้าโรงเรียนเท่านั้น ไม่เคยมีสังคม ไม่มีเพื่อนผู้หญิง ไม่มีเพื่อนชาย เชื่อว่าน้องกล้วยไปไหนไม่ถูก ถ้าไม่มีคนพาไป โดยเฉพาะหากจะไปที่ จ.สงขลากับเพื่อนผู้ชาย 1 คนและผู้หญิง 2 คน ตามที่แม่ฝ่ายชายกล่าวอ้าง ยิ่งเป็นไปไม่ได้  เพราะน้องกล้วยไม่เคยมีเพื่อนที่ไหนเลย อย่างว่าที่อื่น ให้น้องกล้วยไปอำเภอห้วยยอด หรือไปที่เขื่อนท่างิ้วในตำบล ก็เชื่อว่าน้องกล้วยกลับบ้านไม่ถูก จึงเชื่อว่าเกิดความผิดปกติในเรื่องนี้ ทางด้านตำรวจก็ยังไม่ความคืบหน้า

เช่นเดียวกับนายอุดม ทองแก้ว ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 3 ต.ท่างิ้ว กล่าวว่า เห็นน้องกล้วยมาตั้งแต่เด็ก อ่านเขียนหนังสือไม่ค่อยเก่ง เป็นเด็กไม่เที่ยว ไม่มีสังคม ไม่มีเพื่อน ไม่มีเรื่องผู้ชาย รู้ข่าวว่ามีคนมาหมั้นและหายตัวไป แสดงว่าต้องมีคนมารับไป และปรากฎหลักฐานการพูดคุยของฝ่ายชายที่นัดมารับตัว และรถจักรยานของน้องก็ล้มอยู่ในโรงเรียน เชื่อว่าฝ่ายชายต้องเป็นคนมารับไปแน่นอน เพราะน้องกล้วยไปไหนลำพังไม่ได้ ไปไม่ถูกแน่นอน เพราะเด็กไม่เคยออกจากบ้าน ถ้าจะไปลำพังก็คือ ปั่นจักรยานไปร้านค้าหน้าโรงเรียนเท่านั้น ซึ่งหลังเกิดเรื่องตนเองพร้อมด้วยกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 8 และตนเองผู้ใหญ่บ้าน หมู่3 เพราะแม่ฝ่ายชายมาเช่าบ้านอยู่ในหมู่บ้านของตนและอยู่หน้าบ้านตนเอง แม่ของฝ่ายชายก็ยืนยันว่า เขาไม่รู้เรื่อง แต่ข้อมูลที่ได้มาเชื่อว่าฝ่ายชายเป็นคนมารับไปตัวไปแน่นอน อยากจะเรียกร้องให้ตำรวจเร่งเรียกตัวฝ่ายชายมาสอบปากคำว่ามีพิรุธอย่างไรบ้าง เพราะเชื่อว่าต้องเป็นคนมารับไปแน่นอน ตอนนี้ทุกคนเป็นห่วงความปลอดภัยของน้อง เพราะผิดวิสัยที่โทรศัพท์ถูกตัดขาด หรืออาจพาไปแล้วนำตัวไปทิ้งไว้ที่ไหน โดยไม่รับผิดชอบก็เป็นได้ อยากให้ตำรวจเร่งทำคดีสืบสวนสอบสวนโดยด่วน นำตัวน้องกลับคืนสู่ครอบครัว เพราะครอบครัวน้องน่าสงสาร

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน