X

แม่เข้ารักษาโควิด ออกจากรพ.ตัวฟกช้ำ พบรอยเล็บจิก หวาดผวา สองพี่น้องข้าราชการโร่ร้องสื่อ

 

 

ตรัง -ครอบครัวร้องสื่อ แม่เข้ารักษาตัวติดเชื้อโควิด ต้องเข้าแจ้งความ ที่โรงพักขอรับตัวออกจากรพ.มีแผลฟกช้ำทั่วตัว มีรอยเล็บจิก ยืนนั่งไม่ได้  มีอาการหวาดผวา เพ้อตลอดเวลา เตรียมร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และขอดูกล้องวงจรปิดรพ.ตรัง ขณะแม่รักษาตัว เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับแม่และผู้ป่วยคนอื่นๆ เชื่อว่าอาจจะมีผู้ป่วยคนอื่นที่ถูกกระทำเหมือนกัน

ที่บ้านเลขที่ 58/4 ม.9 ต.โคกหล่อ อ.เมืองตรัง จ.ตรัง  นางนฤทัย ทองหวาน อายุ 50 ปี พร้อมด้วย นายอนันต์วิทย์ ทองหวาน (น้องชาย) อายุ 47 ปี  อาชีพรับราชการ ร้องเรียนสื่อมวลชน หลังจากนางประคอง ทองหวาน อายุ 73 ปี  เข้ารักษาตัวเนื่องจากติดเชื้อโควิด19 ตั้งแต่วันที่ 8 –  18 ก.พ.65 ที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อลูกๆติดต่อขอรับตัวนางประคองออกจากโรงพยาบาลตรัง พบว่าร่างกายของนางประคองฯ มีรอยฟกซ้ำดำเขียว บริเวณแขน ข้อมือทั้งสองข้าง  หลังมือ รอยเขียวช้ำ และรอยเล็บจิก บริเวณใต้รักแร้ และรอยจ้ำเลือดที่ปลายนิ้วมือ รวมทั้งนางประคองมีอาการหวาดผวา และมีอาการเพ้อ นอกจากนั้นวันแรกที่รับตัวมานางประคองมีอาการแขนขาอ่อนแรง จนไม่สามารถเดินเหินได้อย่างเคย และเมื่อลูกๆ เข้ามาประคองลำตัว หรือจับบริเวณร่างกาย จะไม่ให้จับและร้องบอกกับลูกๆว่าเจ็บทั้งตัว เมื่อลูกสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น นางประคอง ซึ่งยังมีอาการหลงๆ ลืมๆ และยังมีอาการเบลอจากฤทธิ์ยา บอกว่า ถูกพยาบาลร่างอ้วนกระทำรุนแรงกับตน มีการสอดท่อเข้าในช่องปาก มีให้ท่อแหย่จมูกจนเลือดออก

นางนฤทัย ทองหวาน (บุตรสาว) กล่าวว่า ครอบครัวติดโควิดทั้งหมดจำนวน 9 คน เป็นผู้ใหญ่ 6 คน และเด็กเล็ก 3 คน แต่ละคนแยกรักษาตัว ที่โรงพยาบาลตรังรวมแพทย์ ,บ้าน, ตนรักษาตัวที่ศูนย์กักตัวชุมชน ตำบลโคกหล่อ , ส่วนนางประคองผู้เป็นแม่ เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลตรัง เพียงลำพัง โดยแม่เข้ารักษาตัวเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 65 ตอนไปโรงพยาบาลแม่ สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ทานอาหารได้ด้วยตัวเอง แต่ก็มีอาการหลงๆลืมๆบ้างตามประสาคนแก่ ต่อมาตนทราบจากเพื่อนบ้านที่รักษาตัวในโรงพยาบาล ทราบว่าแม่อาการไม่ดี ลูกๆก็รู้สึกกังวนใจ  จึงโทรไปสอบถามอาการแม่ที่โรงพยาบาลตรัง แต่พยาบาลที่รับโทรศัพท์ไม่ได้ตอบคำถามอะไรให้ตนรู้สึกกระจ่างชัดในอาการของแม่ แต่พยาบาลถามกลับหาตนในทำนองยอกย้อน และไม่พอใจที่พวกตนพยายามโทรสอบถาม อาการแม่ เพราะพวกตนไม่ทราบอาการแต่ละวันของแม่เลยว่าเป็นอย่างไร ขณะที่เมื่อน้องชายโทรถาม ได้รับคำตอบ และคำถามกลับมาว่า หากหมอจะทำอย่างนั้น อย่างนี้ กับแม่ ญาติจะว่าอย่างไร  และร้องหาผ้าอ้อมผู้ใหญ่ ทำให้พวกตนไม่สบายใจมาก นอนไม่หลับ คิดว่าแม่ต้องป่วยติดเตียง ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้แล้วแน่นอน แล้วเกิดอะไรขึ้นกับแม่ เพราะวันที่แยกกับแม่ที่ รพ.แม่อาการยังเป็นปกติ ยกเว้นมีได้รับแจ้งว่า แม่อาการปอดติดเชื้อ แต่อาการทั่วไป แม่ปกติทุกอย่าง ช่วยเหลือตัวเองได้

โดยเพื่อนแนะนำให้ไปแจ้งความที่สภ.เมืองตรัง เพื่อนำตัวแม่กลับมา โดยให้เหตุผลว่าแม่อาการไม่ดีขึ้น และทรุดลงเรื่อยๆ จึงคิดว่าอาจจะเกิดการรักษาผิดวิธี หรือเกิดจากความบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ปฏิบัติงาน หรืออาจดูแลไม่ทั่วถึง โดยตนไปแจ้งความและไปรับแม่ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 65 โดยคุณหมอนัดคุยเกี่ยวกับอาการของแม่ เวลา 15.00 น ของวันนั้น โดยระบุในรายงานว่า แม่โดนมัดมือมัดเท้า ให้ยานอนแม่หลับ การกระทำดังกล่าวทางโรงพยาบาลไม่ได้แจ้งญาติก่อน  ติดต่อขอรับแม่มารักษาตัวที่บ้านกับลูกๆ หรือขอย้ายรพ.ก็ไม่ได้  โดยรายงานบอกว่ามัดมือ เท้า ของแม่เวลาสี่ทุ่ม ของวันที่ 14 กุมภาพันธ์ , วันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค่าเบาหวานของแม่พุ่งสูงถึง800กว่า   ทั้งหมดนี้ทำให้ครอบครัวติดใจ  เพราะครอบครัวไม่รู้ว่าเขาทำอะไรกับแม่บ้าง สอดสายอะไรบ้าง ที่คุณหมอบอกมีแค่ให้ออกซิเจน น้ำเกลือ อาหารทางสาย โดยวันที่ตนไปรับตัวแม่ครบกำหนดรักษา 10 วัน พอดี คุณหมอพยายามพูดไกล่เกลี่ยให้คุณแม่รักษาต่อในโรงพยาบาล ด้วยให้เหตุผลว่า แม่ปอดติดเชื้อ ไตมีปัญหา  เบาหวาน จะต้องรักษาต่อให้ครบ 21 วัน  ถ้าไม่รับการรักษาในโรงพยาบาลจะทำให้เสียชีวิตเฉียบพลัน แต่ตนยืนยันกระต่ายขาเดียวว่าจะเอาตัวแม่กลับ จึงเซ็นรับทราบข้อมูล ซึ่งตนได้บอกกับหมอว่าตนไม่พอใจการดูแลของพยาบาล เราขอย้ายห้อง ขอย้ายรพ. ก็ไม่ให้ย้าย จะขอเอาแม่มาดูแลที่บ้านก็บ่ายเบี่ยง และให้เหตุผลว่าแม้เป็นเบาหวานมาก่อนโดยที่ญาติไม่รู้

นอกจากนั้นฟังจากน้ำเสียงของพยาบาลที่ตนโทรไปสอบถามอาการแม่  พยาบาลที่รับสายไม่มีท่าทีที่เป็นมิตร เพราะที่ผ่านมาตนโทรถามอาการ พยาบาลไม่ได้อธิบายให้รู้สึกอุ่นใจแต่อย่างใด แต่กลับถามตนกลับในลักษณะยอกย้อน  ทั้งนี้ ขณะรับตัวแม่ที่ รพ.พบแม่มีอาการทุรนทุราย  เหมือนสุนัขถูกทุบหัว และแม่เพ้อตลอดเวลา  หมอให้ซื้อถังออกซิเจนให้แม่ โดยบอกว่าถ้าไม่มีถังออกซิเจนจะทำให้แม่เสียชีวิตได้ แต่เวลา2ทุ่มแล้ว ตนไม่รู้จะซื้อถังออกซิเจนจากที่ไหน พยาบาลได้ให้หัวครอบปั้มออกซิเจนมา กลับมาถึงบ้านก็พบเห็นรอยฟกช้ำดำเขียวทั่วตัว ทั้งใต้รักแร้ แขนทั้งสองข้าง มือทั้งสองข้าง หลังจากมาอยู่บ้านได้ 2 วัน อาการของแม่ดีขึ้นมาก แม่เริ่มจำได้ นั่งทรงตัวได้ สดชื่นขึ้นมาก และจะนึกเหตุการณ์ที่รพ.ได้ขึ้นมาเป็นครั้งคราวว่าโดนทำจนเจ็บ โดนแยงจมูกและปาก  มีโดนมัด   หลังจากนี้ตนจะไปร้องเรียนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ และจะขอดูภาพวงจรปิด ขณะที่แม่รักษาตัวด้วย เพื่อดูการทำงานของเจ้าหน้าที่ เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับแม่ และ ผู้ป่วยคนอื่นๆหลายคนที่คิดว่าถูกระทำเหมือนกัน

นายอนันต์วิทย์ ทองหวาน (บุตรชาย) กล่าวว่า  ตนคิดว่าการรักษาผู้ป่วยโควิดซึ่งเป็นผู้สูงอายุ ที่รักษาตัวครบ10วัน และไม่พบเชื้อแล้ว ควรให้เขาแยกห้องแยกตึกออกไป  ไม่ใช่ว่าจะเหมารัวผู้ป่วยทั้งหมดทั้งที่มีเชื้ออยู่ และ ไม่มีเชื้อแล้วให้อยู่รวมกัน โดยให้เหตุผลว่าเจ้าหน้าที่ พยาบาล มีไม่ทั่วถึง แต่ในเมื่อญาติติดไปทุกวันว่าขอรับแม่กลับบ้าน เพื่อมาดูแลต่อ ทำไมไม่ให้กลับบ้าน หรืออนุญาตให้ลูกซึ่งมีอาการป่วยเหมือนกันได้เข้าไปรักษาตัวอยู่ด้วยกันจะได้ช่วยแพทย์ พยาบาลดูแล ตนอยากให้โรงพยาบาลดูแลตรงนี้ด้วย ให้ดูของจริง ไม่ใช่ดูแค่รายงานที่เป็นกระดาษ วันที่ตนไปรับตัวแม่หมอได้แค่อธิบายตามรายงาน แต่ไม่รู้เลยว่าสภาพจริงของแม่ที่นอนอยู่บนเพียงในหอผู้ป่วยเป็นอย่างไร โดยสภาพที่รายงาน กับสภาพของแม่ตนกลับบ้าน อยู่ในสภาพที่แตกต่างกันเลย

หลังจากที่รับแม่มาอยู่บ้านตั้งแต่วันที่ 19 -21 กุมภาพันธ์ อาการแม่เริ่มเปลี่ยนดีขึ้นมากตามลำดับ  เช่น นั่งได้ ทรงตัวได้ ทานอาหารได้มากขึ้น จากที่วันแรกรับตัวมาบ้าน แม่ไม่กล้าอ้าปาก น่าจะผวาจากการถูกสอดสายในคอ มีอาการหวาดกลัว และบอกว่าเจ็บ จับตรงไหนของร่างกายก็บอกว่าเจ็บ และพูดเพ้อไปเรื่อย แต่เมื่อมาอยู่บ้านแค่ 2 วัน อาการได้ดีขึ้นตามลำดับ ตนจึงอยากฝากไปยังโรงพยาบาลว่า ให้ช่วยดูแลหน่อย เพราะแม่บอกว่าพยาบาลคนอ้วน ทำรุนแรงมาก  และมีบางคนที่เสียชีวิต ทำให้แม่ฝังใจว่า พยาบาลคนอ้วนทำโต๊ะข้างๆตายเลย” และมีคำบอกเล่าจากญาติคนไข้โควิดรายหนึ่งที่เสียชีวิต ซึ่งตามร่างกายมีร่องรอยฟกช้ำเหมือนกับแม่ของตน ตนคิดว่าน่าจะถูกกระทำแบบเดียวกัน ฝากถึงโรงพยาบาลให้เห็นค่าของคนป่วย เพราะคือหนึ่งชีวิตเหมือนกัน และข้ออ้างที่บอกว่าเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอนั่นไม่ใช่เหตุผล

ส่วนอีกประเด็นที่ตนตั้งข้อสงสัย ในเมื่อโรงพยาบาลทราบแล้วว่าญาติ หรือ คนในครอบครัวเดียวกันเป็นโควิดเหมือนกัน และแม่เป็นผู้ป่วยด้วย แม่มีอาการเลอะเลือน ทางลูกๆ ขอไปรักษาตัวที่เดียวกันเพื่อจะได้ดูแลแม่ ทำไมจึงทำไม่ได้  อย่างน้อยก็ได้ช่วยแบ่งเบาภาระให้พยาบาล ที่บอกว่าคนน้อยดูแลผู้ป่วยไม่ทั่วถึง

ถูกใจข่าวนี้ไหม?

คลิกที่ดาวเพื่อโหวต

ความนิยมข่าวนี้ / 5. จำนวนโหวต:

ติดตามข่าวสารผ่าน Line 77 ข่าวเด็ด กดปุ่มเพิ่มเพื่อนเลย

เพิ่มเพื่อน